8. อย่าเพิ่งเชื่อว่าต้องกับลัทธิของตน คือ เข้ากับความเชื่อของตน เพราะตนเชื่ออย่างนี้อยู่แล้ว เมื่อใครพูดอย่างนี้
ให้ฟัง ก็ยอมรับว่าใช่และถูกต้อง ซึ่งก็ไม่แน่เสมอไป เพราะสิ่งที่เราเชื่อมาก่อนนั้นอาจผิดก็มี บางทีคนอื่นก็มาหลอกเรา เพราะเห็นว่าเราเชื่ออยู่ก่อนแล้ว จึงอาศัยความเชื่อของเรา เป็นเหตุมันจึงไม่แน่เสมอไป
บางคน เมื่อมีใครมาพูดตรงกับความคิดเห็นของตนก็เชื่อแล้ว ตัวอย่างเช่น เราไม่ชอบใครอยู่สักคนหนึ่ง
พอใครมาบอกเราว่าคน ๆ นั้นไม่ดี ก็เชื่อว่าเป็นคนชั่วแน่ เพราะตนเองก็ไม่ชอบหน้าเขาอยู่แล้ว เรื่องอย่างนี้
ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะคนที่เราไม่ชอบอาจจะเป็นคนดีก็ได้ แต่ว่ามีคนอื่นมาพูดยุยงให้เราเข้าใจไปอย่างนั้น
เราจึง มองผิดไปได้  หรือคนที่เชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลก หรือเรื่องเครื่องลางของขลัง พอมีใครมาพูดเรื่องเช่นนี้
ก็เชื่อสนิท เพราะไปตรงกับความเชื่อของตน    เพราะฉะนั้น จงอย่าเพิ่งเชื่อ แม้ในกรณีดังกล่าวมานี้
9. อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้ คือ เห็นว่าคนที่เป็นคนใหญ่คนโตนั้น พูดจาควรเชื่อถือได้ เช่น เป็น ถึงชั้นเจ้า
หรือตำแหน่งสูง เราก็ควรจะเชื่อคำพูดของเขา แต่มันก็ไม่แน่ แม้แต่พระสงฆ์ก็ไม่แน่ เราจึงต้องฟังดูให้ ดีเสียก่อน
แม้แต่คณะรัฐมนตรีเองก็ไม่แน่ อย่าเพิ่งไปเชื่อคำพูดของท่านเหล่านั้นทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ว่าผู้พูด มียศ
มีตำแหน่งอย่างนี้แล้ว จะพูดเรื่องน่าเชื่อถือได้เสมอไป เราควรจะฟังหูไว้หู ฟังให้ดีเสียก่อน มิฉะนั้นแล้วจะ
ถูกหลอกได้ง่าย อย่าเพิ่งเชื่อในที่นี้ มิได้หมายความว่าไม่ให้เชื่อ แต่ควรจะพิจารณาดูก่อนแล้วถึงจะเชื่อ
10. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าผู้พูดเป็นครูของเรา ข้อนี้แรงมาก คือ แม้แต่ครูของตนก็ไม่ให้เชื่อ ทั้งนี้เพราะ
ครูของเราก็อาจจะพูดผิดหรือทำผิดได้ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องฟังให้ดี    ไม่มีศาสนาใดสอนเราไม่ให้เชื่อครู
ของตน แท้จริงแล้วพระพุทธเจ้ามิได้ทรงสอนว่าไม่ให้เชื่อ แต่ทรงสอนว่าอย่าเพิ่งเชื่อต้องพิจารณาดูเสียก่อน
แล้วจึงค่อยเชื่อ
 
     
                       
   
 

 การสอนให้อย่าเพิ่งเชื่ออะไรอย่างงมงาย หรือเชื่ออย่างง่ายดายทั้ง 10 ประการข้างต้นนี้ พระพุทธเจ้ามิได้สอนโดยการบอกให้เชื่อทันที
แต่ทรงตรัสถามให้ชาวกาลามะได้ตรึกตรองและคิดพิจารณาตามลำดับๆ เช่น ถามว่า ถ้าความโลภเกิดขึ้น จะเป็นประโยชน์ไหม และทำให้
ฆ่าคน ลักทรัพย์ จะเป็นไปเพื่อประโยชน์หรือไม่ มีโทษหรือไม่มี วิญญูชนจะติเตียนหรือสรรเสริญละเป็นไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์
เป็นกุศลหรืออกุศล ซึ่งเมื่อถามแล้ว ก็ให้ชาวลามะคิดเอง ตอบเอง จนที่สุดชาวกาลามะก็พิจารณาเห็นจริงได้เองว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้า
ตรัสสอนนั้น สิ่งใดมีประโยชน์ ไม่มีโทษ ไม่มีทุกข์ และเป็นไปเพื่อประโยชน์ และเป็นกุศลแก่ตัวผู้ทำ หรือสิ่งใดเป็นสิ่งตรงกันข้าม
ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ถึงเหตุและผลโดยรอบคอบแล้ว ทุกคนก็มีอิสระทางความคิดที่จะ"เชื่อ" หรือ"ไม่เชื่อ"  แล้วจึงค่อยเลือกทำหรือไม่ทำ
แล้วแต่กรณี
           หวังว่า"สิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการ" นี้ จะเป็นแนวทางให้พวกเรายุคปัจจุบันได้รู้จักคิดให้ละเอียดรอบคอบ ก่อนที่จะ
ตัดสินใจทำสิ่งใดก็ตาม "ความเชื่อ" ต่อไปในอนาคต

 
                     
เอกสารอ้างอิ

กาลามสูตร. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี.  http://th.wikipedia.org/wiki  (เข้าถึง 20 มีนาคม 2557)

อมรรัตน์ เทพกำปนาท. 2551. กาลามสูตร : หลักความเชื่อทางพุทธศาสนา. วัฒนธรรมไทย. 47(13) : 38 – 40.            
Phramaha Ariyadhammo .พุทธปรัชญาในเกสปุตตสูตร หรือกาลามสูตร..... http://www.l3nr.org/posts/410716   (เข้าถึง 15 มีนาคม 2557)

                       Previous
HOME            MAIN
           ความหมาย                  ความเป็นมา                หลักความเชื่อ๑๐ ประการ                         วิธีปฏิบัต