ประวัติความเป็นมา
มะโย่ง
                มโย่งเป็นศิลปะการแสดงละครอย่างหนึ่งของไทยมุสลิม  กล่าวกันว่าเริ่มแรกมีขึ้นในรั้วในวังเมืองปัตตานี 
เมื่อประมาณ  ๔๐๐  ปีมาแล้ว  จากนั้นแพร่หลายไปทางกลันตัน
                เกี่ยวกับคำว่า  “มะโย่ง”  ยังไม่มีใครทราบความหมายทางภาษา  หรือรากคำที่แน่ชัดบางคนสันนิษฐานมาจากคำว่า 
“มัคฮียัง”  (Mak-Hiang)  แปลว่าเจ้าแม่โพสพเพราะพิธีทำขวัญข้าวในนาของชาวมลายูสมัยนั้นมีหมอผีทรงวิญญาณเจ้าแม่  เพื่อขอความสวัสดิมงคลมาสู่ชาวบ้าน  ขณะเดียวกันมีการร้องรำบวงสรวง  ซึ่งภายหลังกลายเป็นละครประเภทหนึ่ง
                ก่อนการแสดงมะโย่งทุกครั้งจะมีบอมอร์  (Bormor)  คือผู้แสดงเป็นคนทรงหรือคนกลาง  ระหว่างเดวามูดอ
  (เทพบุตร)  กับเปาะโย่ง  (พระเอก)  มีที่น่าสังเกตอีกอย่างคือผู้แสดงมะโย่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงยกเว้นตัวตลกชาย  ลักษณะคล้ายละครในครั้งอยูธยาซึ่งเริ่มต้นจากในวังเช่นเดียวกัน
                เมื่อปี  ๒๑๕๕  ชาวยุโรปคนหนึ่งชื่อปีเตอร์  ฟลอเรส  ได้รับเชิญจากนางพญาตานี  หรือเจ้าเมืองปัตตานีสมัยนั้น  ให้ไปร่วมเป็นเกียรติในงานเลี้ยงต้อนรับสุลต่านรัฐปาหัง  งานดังกล่าว  ปีเตอร์เล่าว่ามีการละเล่นอย่างหนึ่ง  ผู้แสดงเป็นหญิง
  ลักษณะการแสดงคล้าย ๆ  นาฏศิลปะชวา  ผู้แสดงแต่งกายแปลกและน่าดูมาก  ศิลปะดังกล่าวนี้คงหมายถึงมะโย่ง  ซึ่งส่วนใหญ่จัดแสดงในงานเพื่อให้อาคันตุกะได้ชื่นชม
โรงหรือเวทีแสดง
                สมัยโบราณมะโย่งเป็นที่นิยมในชนชั้นสูงของมลายู  การแสดงครั้งหนึ่ง ๆ  ใช้เวลาระหว่าง  ๔ – ๗  คืน  ใช้สถานที่ในวังหรือในบ้านขุนนางโดยเฉพาะ  ห้องโถงที่แสดงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีฝาเพียง  ๓  ด้าน  อีกด้านหนึ่ง
เปิดโล่ง  ตรงฝาด้านหนึ่งทำเป็นประตูเข้าออกของรายา  หรือขุนนางตลอดจนผู้ติดตาม  อีกด้านหนึ่งเป็นทางเข้าออกของนักแสดงและนักดนตรีศิลปินต่างนั่งตรงกลางพื้นห้องซึ่งทำด้วยไม้ขัดเรียบ  ผู้ชมนั่งล้อม
รอบ  ๓  ด้าน  ทุกคนมีหมอนอิง  ส่วนสาวสนม  และคนรับใช้นั่งดูด้านที่เปิดโล่งและนั่งต่ำกว่าที่รายาประทับ
                การแสดงมะโย่งดังกล่าวนี้ไม่มีฉากและม่าน  มะโย่งจะแสดงไปเรื่อย ๆ  ไม่มีการหยุดจนกว่ารายาจะบอกให้ยุติ  เพราะพระองค์จะเสด็จกลับไปพักผ่อน
                ปรกติโรงแสดงมะโย่งเรียก  ปากง  (Pagong)  โดยปลูกกลางลานอย่างง่าย ๆ  ไม่ยกพื้นแต่อย่างใด  ผู้แสดง
นั่งบนเสื่อ  ถ้าเป็นที่นั่งเปาะโย่ง  หรือมะโย่ง  เรียกว่าบาไล  (Balai)  สมัยโบราณมักมีมะโย่งแข่งประชันกันปีละครั้ง  โดยมีกติกาว่าฝ่ายชนะต้องร้องและรำยอดเยี่ยม  และตลกจี้เส้นได้ถึงใจ  คณะมะโย่งชนะเลิศได้สมญาว่า  “มะโย่งรายา” 
คือ  มะโย่งอยู่ในความอุปถัมภ์ของเจ้าเมือง (ประพนธ์ เรืองณรงค์. 2519,67-68)

 
ที่มา : การแสดงมะโย่ง เมื่อ ตุลาคม 12, 2008 http://www.pattanian.com/index.php?topic=10.0

มะโย่ง
...................รายาบือราสะ ครองเมืองบรือดะ ทรงมีพระธิดาพระนามว่า ฆานอสุรี และโอรส (ไม่ปรากฏนาม) โอรสสามารถแปลงกาย เป็นสุนัขดำได้ อยู่มาวันหนึ่งพระธิดาและสุนัขดำเสด็จประพาสป่าไปพบบาเตาะ (คนป่า) ซึ่งสามารถร้องเพลงได้ไพเราะจับใจพระธิดา พระธิดาจึงขอเรียนร้องเพลงด้วย เมื่อเรียนครบเจ็ดวันจึงเสด็จกลับวัง อยู่มาไม่นานฆานอสุรีทรงครรภ์กับพระเชษฐา เป็นสาเหตุให้ทั้งสองถูกขับออกจากเมือง ต่อมารายา บือราสะ รับสั่งให้ทหารไปฆ่าสุนัขดำและรับเอาพระธิดาพร้อมทั้งพระนัดดากลับเมือง วันหนึ่งพระกุมารล้ม เจ็บลง รายาสั่งให้โหรทำนายและรักษาพระนัดดา โหรให้นำกระโหลกสุนัขดำมาทำเป็นซอ และเส้นพระเกศา ฆานอสุรีเป็นสายคันชักซอ เอ็นสุนัขดำเป็นสายซอ เมื่อประกอบเสร็จ โหรจึงให้พระกุมารสีซอ ซอมีเสียงดังว่า
"พ่อตายแต่แม่ยังอยู่" พระกุมารได้ยินดังนั้นก็หายเจ็บไข้ จากนั้นพระกุมารได้ลาพระมารดาไปเรียนสีซอและ การร้องรำกับบาเตาะปูเตะ เสียงซอที่บาเตาะสอนนั้นมีเสียงดังว่า "เปาะโย่ง" พระนัดดาจึงมีนามว่า เปาะโย่ง มาแต่บัดนั้น เมื่อเปาะโย่งกลับถึงเมืองบรือตะแล้ว ได้แสดงความสามารถถวายรายอ เปาะโย่งให้คนไปตัดไม้
ทำ ซือแระ (แกระ) ทำกือแน (กลอง) จากไม้ปูตะ (ไม้จิก) ส่วนแกระทำจากไม้ไผ่ พร้อมกับผู้สีซออีกคน เสร็จ แล้วเปาะโย่งร่ายรำและร้องเพลงเป็นที่สบอารมณ์ผู้ชมอย่างยิ่ง เป็นเหตุให้การแสดงประเภทนี้แพร่หลายใน เวลาต่อมา
แนวคิด
.....................ปัจจุบันมะโย่งหรือหมาโย่ง เป็นการส่งเสริมการละเล่นพื้นเมืองอย่างหนึ่งของชาวไทยมุสลิม มีลีลาการ แสดงคล้ายคลึงกับโนรามาก แสดงเพื่อความบันเทิงและเพื่อใช้บนหรือสะเดาะเคราะห์เนื่องจากถูกเวทมนต์ คาถาหรือถูกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กระทำ ทั้งนี้โดยการแนะนำของ "มะตือรี" (การทรงเจ้า) บางครั้งก็มีการเล่นใช้ บนธรรมดา เช่น การขอมีบุตรชาย บุตรหญิง เล่นบูชาครูศิลปินประจำปี เป็นต้น (มะโย่ง.http://tarachai.tripod.com/03seethaitumnan/south/nara001.htm )

 
PREVIOUS