ที่มา : สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ. 2542,134 |
||
ความสำคัญ
วันมาฆบูชา ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ กลางเดือน ๓ หรือประมาณราวเดือนกุมภาพันธ์ แต่หากเป็นปีอธิกมาส (ปีที่มีเดือน ๘ สองหน) วันมาฆบูชาจะเลื่อนไปเป็น วันขึ้น ๑๕ ค่ำกลางเดือน ๔ หรือประมาณเดือนมีนาคม ๑. ไม่ทำความชั่วทั้งปวง เว้นจากความชั่วด้วยกาย วาจา ใจ |
||
การปลงมายุสังขาร
|
||
หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้และสั่งสอนพระธรรมมาเป็นระยะเวลา ๔๕ ปี พระองค์ทรงปลงมายุสังขาร คือ ตั้งพระทัยว่า "ต่อแต่นี้ไปอีก ๓ เดือน เราจักเสด็จดับขันธปรินิพพาน" การปลงอายุสังขาร ตรงกับวันมาฆบูชาในปีที่พระพุทธองค์มีพระชนมายุ ๘๐ พระชันษา |
||
ประเพณีทำบุญวันมาฆบูชา “มาฆะ” เป็นชื่อของเดือน 3 มาฆบูชานั้นย่อมาจากคำว่า”มาฆบุรณมี” แปลว่า การบูชาพระในวันเพ็ญเดือน 3 วันมาฆบูชาจึงตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำเดือน3 แต่ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือมีเดือน 8 สองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็น วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในพุทธศาสนา คือเป็นวันที่มีการประชุมสังฆ์สันนิบาติครั้งใหญ่ในพุทธศาสนา ที่เรียกว่า “จาตุรงคสันนิบาติ” และเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวกเป็นครั้งแรก ณ เวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ เพื่อให้พระสงฆ์นำไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะยังพระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืฮงต่อไป คำว่า “จาตุรงคสันนิบาติ” แยกศัพท์ได้ดังนี้คือ “จาตุ” แปลว่า 4 “องค์” แปลว่า ส่วน “สันนิบาติ” แปลว่า ประชุม ฉะนั้น จาตุรงคสันนิบาติ จึงหมายความว่า “การประชุมด้วยองค์ 4” กล่าวคือ มีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้คือ
การปฏิบัติตนสำหรับพุทธศาสนิกชนในวันนี้ก็คือ การทำบุญตักบาตรในตอนเช้า หรือไม่ก็จัดอาหารคาวหวานไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืนจะพากันนำดอกไม้ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อชุมนุมกันทำพิธีเวียนเทียนรอบพระอุโบสถพร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ โดยเจ้าอาวาสจะนำว่านะโม 3จบ จากนั้นกล่าวคำถวายดอกไม้ ธูปเทียน ทุกคนว่าตาม จบแล้วเดินเวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ จนครบ 3 รอบ แล้วนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัดเตรียมไว้ เป็นอันเสร็จพิธี (ชุลีพร สุสุวรรณ. 2542,96-97)
|