สุนทรภู่กวีเอกแห่งโลก
สุนทรภู่เป็นมหากวีที่มีผู้รู้จักมากที่สุดและได้รับการยกย่องมากที่สุดมีชื่อเสียงในด้นสำนวนกลอนเป็นที่เลื่องลือ
จนได้รับการยกย่องว่าเป็น “บรมครูทางกลอนแปด” และเป็น “กวีเอกของไทย” คนหนึ่ง นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องว่า
เป็นกวีที่มีจินตนาการกว้างไกล สร้างโครงเรื่องและเนื้อหาของนิทานได้อย่างน่าสนใจ ชวนแก่การติดตาม
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติได้เสนอต่อองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม
แห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ให้ประกาศเกียรติคุณว่าสุนทรภู่เป็นบุคคลสำคัญของชาติไทย มีผลงานด้านวัฒนธรรมดีเด่น
และเป็นกวีของประชาชนรวมทั้งให้องค์การแห่งนี้ช่วยเผยแพร่เกียรติคุณและผลงานของสุนทรภู่
ไปยังสมาชิกทั่วโลกเนื่องในวาระครบรอบ ๒๐๐ ปีเกิด ของสุนทรภู่ในปี พ.ศ. ๒๕๒๙
สุนทรภู่เป็นกวีสำคัญคนหนึ่งในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น มีชีวิตอยู่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑-๔ มีปฏิภาณในการคิดแต่งคำ
ประพันธ์และพูดอะไรเป็นคำคล้องจองมาตั้งแต่อยู่ในวัยเด็กเมื่อเติบโตเป็นหนุ่มมีอาชีพเป็นครูสอน
เสมือนบอกดอกสร้อยสักวาและบอกบทละครต่อมาได้มีโอกาสเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ได้แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีปฏิภาณไหวพริบดีสามารถต่อบทกลอนได้เป็นที่ถูกพระทัย จึงได้เป็นกวีที่ทรงปรึกษา ได้รับใช้
้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทและเป็นกวีที่พระมหากษัตริย์ทรงโปรดปรานเป็นอย่างยิ่ง ในสมัยนั้น สุนทรภู่ได้รับพระมหา
กรุณาธิคุณให้เป็นพระอาจารย์ถวายพระอักษรแด่พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ด้วย
เมื่อสิ้นรัชกาล ชะตาชีวิตของสุนทรภู่ก็เริ่มผันผวน ตกอับถึงกับต้องออกบวช แต่ยังมีเจ้านายทรงรับอุปการะเป็นระยะ ๆ ไป
ต่อมาสุนทรภู่ได้สึกจากพระ แล้วหลังจากนั้นไม่นานก็ได้บวชใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในช่วงนี้สุนทรภู่มีความทุกข์ยาก บางขณะ
ถึงกับต้องแต่งกลอนขายเลี้ยงชีพ ด้วยสุนทรภู่มีฝีปากในการแต่งกลอนได้ดีเป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่รู้จักจึงมีผู้ว่าจ้างให้สุนทรภ
ู่แต่งกลอนเพลงยาวให้ปรากฏว่าแต่งให้ทั้งสำนวนชายและสำนวนหญิง นอกจากนั้นในช่วงนี้สุนทรภู่ยังมีอาชีพสอนหนังสือ
หรืออาชีพครูอีกอย่างหนึ่ง เมื่อสุนทรภู่สึกจากพระครั้งที่สองก็ได้พึ่งพระบารมีเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เมื่อเปลี่ยนรัชกาล
ก็ได้เป็นอาลักษณ์แบบเดียวกับที่เคยเป็นในสมัยรัชกาลที่ ๒ เพียงแต่ในสมัยนี้ เป็นอาลักษณ์ฝ่ายพระบวรราชวังไม่ใช่ฝ่าย
พระบรมมหาราชวัง ได้รับราชการในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวจนกระทั่งถึงแก่กรรม
สุนทรภู่มีชีวิตครอบครัวไม่ราบรื่นนัก บิดามารดาหย่าร้างกันตั้งแต่ตนเองยังเป็นเด็กทำให้สุนทรภู่ขาดความรัก
และความอบอุ่น สุนทรภู่จึงแสวงสิ่งนี้ด้วยการมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงมากมายหลายคนโดยได้กล่าวถึงผู้หญิงเหล่านี้ใน
นิราศหลายเรื่อง อย่างไรก็ตามสุนทรภู่มีภรรยาที่อยู่ด้วยกันอย่างเป็นหลักเป็นฐาน ๓ คน คือ แม่จัน แม่นิ่ม และแม่ม่วง
แต่การครองรักครองเรือนกับภรรยาทั้งสามไม่ประสบกับความราบรื่นนัก ต้องมีอันให้พลัดพรากจากกันด้วยเหตุจำเป็น
อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เสมอ ในบรรดาภรรยาเหล่านี้ แม่จันเป็นผู้ที่ทำให้สุนทรภู่เจ็บช้ำและสะเทือนใจมากที่สุด เพราะเป็น
ฝ่ายทิ้งสุนทรภู่ไป แม้สุนทรภู่จะทราบดีว่าที่แม่จันจากไปก็เพราะความเจ้าชู้ของตนเองก็ยังอดน้อยใจและอดตัดพ้อแม่จัน
ดังที่ปรากฏในผลงานของสุนทรภู่หลายเรื่องไม่ได้ |