จากเมืองท่า  Singora  สู่สงขลาในปัจจุบัน

    
 
ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลา(ศิลปะสถาปัตยกรรมแบบจีน) ทำพิธีสมโภชเมื่อ พ.ศ. 2385

นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่  ๕-๖  เป็นยุคที่คนตะวันตกออกแสวงหาดินแดนใหม่ ๆ  เพื่อทำการค้า  จึงทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาของการค้นพบเส้นทางการค้าทางทะเลคู่ขนานไปกับเส้นทางทางบก  ต่อมาในราวพุทธศตวรรษที่  ๘  เส้นทางการค้าทางทะเลเป็นที่นิยมสูงสุด  เพราะการเดินทางทางบกนั้นไม่ค่อยปลอดภัยและมีอุปสรรคทางภูมิประเทศ
                ด้วยเหตุนี้  ทำให้บริเวณภาคใต้ของประเทศไทยที่เป็นคาบสมุทรทั้งอยู่ระหว่างประเทศที่เป็นอู่อารยธรรม  เช่น  ประเทศจีน  ประเทศอินเดีย  ประเทศแถบอาหรับ-เปอร์เซีย  และประเทศแถบชวา-มลายู  เป็นดินแดนที่อยู่ในตำแหน่งเส้นทางการค้าทางทะเล  พ่อค้าส่วนใหญ่จะแวะตามเมืองท่าชายฝั่งภาคใต้ของประเทศไทยเพื่อจอดขนถ่ายสินค้า  ซ่อมเรือเติมน้ำจืดและอาหาร  ทำให้เมืองท่าทางภาคใต้มีความเจริญรุดหน้าเป็นอันมาก
                ยิ่งไปกว่านั้น  เรายังมีเครื่องเทศ  เช่น  ว่าน  กระวาน  ขิง  ข่า  ขมิ้น  กระชาย  พริกไทย  ฯลฯ  เป็นเหมือนแม่เหล็กดึงดูดให้พ่อค้าชาวตะวันตกต้องเดินทางมาแสวงหา  จนทำให้เส้นทางเดินเรือนี้มีชื่อเสียง  และได้ชื่อว่าเป็น  “เส้นทางเครื่องเทศ”
                แต่ในความเป็นจริงแล้ว  ประวัติศาสตร์เมืองสงขลาได้เริ่มต้นอย่างแท้จริงประมาณพุทธศตวรรษที่  ๒๒-๒๔  โดยมีศูนย์กลางการปกครอง  ๓  แห่ง  แห่งแรกคือเมืองสงขลาฝั่งหัวเขาแดง  แห่งที่สองคือเมืองสงขลาฝั่งแหลมสน  และแห่งสุดท้ายคือเมืองสงขลาฝั่งบ่อยาง

 
ศาลเจ้าพ่อกวนอู

ถนนนครในและถนนนางงาม
               อาคารแบบซิโน-โปรตุกีสเป็นอาคารที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างศิลปะการออกแบบก่อสร้างของจีนผสมโปรตุเกส 
ซึ่งมีที่มาจากบ้านเรือนแถบเกาะปีนัง  และแผ่ขยายมายังชุมชนชาวจีนบนเกาะภูเก็ตในยุคที่เศรษฐกิจทำเหมืองแร่เฟื่องฟู
                ซิโน-โปรกีสเป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกผสมตะวันออก  ตะวันตกคือโปรตุเกส  ส่วนตะวันออกก็คือจีน 
ซึ่งในสมัยก่อนชาวโปรตุเกสเรียกจีนว่า  “ชิโน”  ลักษณะอาคารแบบซิโน-โปรตุกีสมีหลายรูปแบบ  แต่ละส่วนเป็นตึกแถว
มีกำแพงหนา  เพราะใช้กำแพงรับน้ำหนัก  ลักษณะเด่นของชิโน-โปรตุกีสคือการนิยมใช้โค้ง  (Arch)  เรียงอยู่ด้านหน้าของ
ตึกชั้นล่าง  รับระเบียงชั้นสอง  ทำให้เกิดลักษณะที่เรียกว่า  “อาเขต”  หรือที่คนจีนเรียกว่า  “หงอคาขี่”  กลายเป็นทางเท้า
ที่มีหลังคาคลุมตลอดทางเดิน
                แต่สำหรับอาคารแบบศิลปะจีนนั้น  มักก่อสร้างเป็นตึกขั้นเดียว  แต่ก็มีบ้างที่เป็นตึกสองชั้น  อาคารส่วนใหญ่มัก
ตั้งอยู่ริมถนน  และจะปรับพื้นดินด้วยการเอาดินตากแดดมาวางเบียดชิดกันผนังทำด้วยดินเหนียวผสมฝาสับ  และใช้ไม้
ขนาดใหญ่ทำขื่อและจันทัน  ทำจั่ว  แล้วค่อยปูด้วยไม้  จากนั้นนำดินปั้นเป็นแผ่นไปวางทับบนหลังคา  แล้วกรุทับด้วย
หลังคามุงหญ้าคาอีกชั้นหนึ่ง  เรียกว่าหลังคาสองชั้นการก่อสร้างแบบนี้ว่ากันว่าเป็นบ้านที่สามารถป้องกันไฟ 
ถ้าหากไฟไหม้ก็จะไหม้เฉาะหลังคาแฝกเท่านั้น
                แม้ว่าปัจจุบันอาคารแบบชิโน-โปรตุกีสและอาคารศิลปะแบบจีนเหล่านี้จะทรุดโทรมลงเพราะถูกมรสุม
ตบตีมาหลายฤดูแล้วก็ตาม  หากแต่อาคารเหล่านี้ก็ยังคงความงดงาม  สามารถบอกเล่าถึงเรื่องราวในอดีตได้อย่าง
ไม่มีขาดตกบกพร่อง  ซึ่งหากใครก็ตามที่ได้มาเยือนเมืองเก่าสงขลาก็คงอดหลงเสน่ห์ของเมืองแห่งนี้ไม่ได้  อีกทั้ง
รสชาติของอาหารพื้นบ้านโบราณของชาวตำบลบ่อยาง  เช่นบีฮุ้นยำ  หรือยำเส้นหมี่  ต้มใส่ไส้  ขนมค้างคาว  ขนมหวัก
  ขนมทองเอก  ขนมปาด  ขนมวุ้ยโข่ย  หรือขนมเทียนสด  ขนมหมอฉี่  ขนมจูจุ๋น  ขนมซ่อนลูก  อีกทั้งของคาว  เช่น 
หมูฮ้อง  พริกขิง  ข้าวยำ  ข้าวมันแกงไก่  ซึ่งแต่ละอย่างนั้นรับประกันความอร่อย  โดยเฉพาะร้านอาหารบนถนนนางงาม
                ยิ่งได้ออกไปชำเลืองความเป็นไปในวิถีของคนพื้นเมืองที่ยังคงรื่นรมย์กับการนั่งรถสามล้อถีบจิบกาแฟโบราณ
ที่ร้าน พื้นบ้านซึ่งเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารของชุมชน  ทำให้อดอิจฉาความสุขสงบของผู้คนที่นี่ไม่ได้
               

  

ร้านขายขนมไทยที่มีชื่อเสียง บนถนนนางงาม

 
PREVIOUS       NEXT