ที่มา : ประเพณีให้ทานไฟ http://www.siamrustic.com/index.php?option=com |
ประวัติความเป็นมา สันนิษฐานว่าประเพณีให้ทานไฟเกิดขึ้นจากอากาศหนาวเป็นต้นเหตุ กล่าวคือ ภิกษุสามเณรมีเพียงจีวรบาง ๆ ผืนเดียวพันกาย และบรรดาภัตตาหารที่ได้จากการบิณฑบาตก็เย็นชืดไม่เป็นรสชาติ พุทธศาสนิกชนจึงคิดกันจะอุปัฎฐากภิกษุสามเณรให้ได้รับความอบอุ่น จากความร้อนของไฟและได้ฉันภัตตาหารที่ปรุงขึ้นทันทีทันใด แต่บางท่านมีความเห็นว่าประเพณีนี้น่าจะรับมาจากอินเดียโดยอาศัย หลักฐานจาก “คัมภีร์ขุททกนิกาย” ในคัมภีร์นี้ได้กล่าวถึงเศรษฐีคนหนึ่งแห่งแควันสักกะชื่อโกสิยะซึ่งเป็นคนร่ำรวยกว่าใคร ๆ มีปราสาทใหญ่ถึง 7 ชั้น แต่เป็นคนตระหนี่ต่อทุกคนไม่ว่านักบวช ญาติมิตร ชาวเมือง ข้าทาส แม้แต่ตนเองและลูกเมียก็มิได้ละเว้น วันหนึ่งเศรษฐีโกสิยะผ่านไปในกรุงราชคฤห์เห็นชาวเมืองนั่งกินขนมเบื้องที่แผงลอย เศรษฐกิจเกิดความหยากกินขนมเบื้องขึ้นมาบ้าง แต่ด้วยความตระหนี่ก็ไม่ยอมซื้อกิน จึงกลับมาบ้านด้วยความอยากกินที่ยังคั่งค้างอยู่ภายในจิตใจ จึงหดหู่ซึมเซาผิดปกติไป ฝ่ายภรรยา เศรษฐีก็พยายามไต่ถามจนรู้ความ และรับอาสาจะทำขนมเบื้องเลี้ยงสามี แต่เศรษฐีเกิดความตระหนี่ขึ้นมาเกรงว่าจะเปลืองเงินทอง เพราะจะต้องเลี้ยงลูกเมียด้วย ก็ไม่อยากให้ภรรยาทำให้ แต่ภรรยาก็ชวนเศรษฐีไปทำขนมเบื้องที่ชั้นที่ 7 ของปราสาทเพราะไม่อยาก ให้ใครรู้เห็น และตนเองก็จะไม่กินขนมเบื้องนั้นโดยเด็ดขาดเศรษฐีจึงเห็นชอบด้วยในขณะที่ทั้งสองกำลังทำขนมเบื้องกันอยู่นั้น พระพุทธองค์ซึ่งประทับอยู่ ณ เขตวันมหาวิหารได้ทรงทราบด้วยญาณว่าเศรษฐีผู้ตระหนี่กำลังแสดงการตระหนี่ออกมาเกินเหตุเสียแล้ว เห็นควรให้ละนิสัยนี้เสีย จึงรับสั่งให้พระโมคคลานไปแก้นิสัยของเศรษฐี พระโมคคลานได้เหาะตรงไปยังประตูชั้น 7 ของคฤหาสน ์ของเศรษฐี แล้วยืนสำรวมอยู่ที่ประตูเศรษฐีเข้าใจว่าพระโมคคลานจะมาขอขนม จึงแสดงอาการรังเกียจ และออกวาจาไล ่พระโมคคลาน พระโมคคลานได้ทรมานเศรษฐีอยู่นาน ในที่สุดเศรษฐีได้ยอมถวายขนมบ้าง พระโมคคลานจึงแสดงธรรมว่าด้วยเรื่อง ประโยชน์ของการให้เศรษฐีและภรรยาเลื่อมใสจึงนิมนต์พระโมคคลานไปรับถวายอาหารที่บ้านของตน แต่พระโมคคลานไม่รับและ แจ้งว่าถ้าจะถวายควรไปถวายพระพุทธองค์และพระสาวก 500 รูป ณ เชตวันมหาวิหาร เศรษฐีและภรรยาจึงได้ทำขนมเบื้องถวาย พระพุทธองค์และสาวกทั้ง 500 รูป แต่ทำเท่าไร ๆ แป้งที่เตรียมไว้เพียงเล็กน้อยก็ไม่หมด ท้ายที่สุดพระพุทธองค์ได้ทรงเทศนา สั่งสอนเศรษฐีและภรรยา ทั้งสองเมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระโอษฐ์ก็บังเกิดความปิติอิ่มเอิบในการบริจาคทานและบรรลุ โสดาปัตติผลในที่สุด จากความเป็นมาที่กล่าวมาแล้ว อาจจะเป็นไปได้ว่า คติดันนี้ว่าจะยึดเอาเรื่องราวอันมีมาในขุททกนิกายเป็นมูล เพราะว่าในวันให้ทานไฟนั้นพุทธศาสนิกชนได้ถวายขนมเบื้องแด่พระภิกษุสงฆ์ เช่นเดียวกับในเรื่องราวตามคัมภีร์ดังกล่าว ประเพณีการให้ทานไฟกระทำในวันที่คาดว่าอากาศจะหนาวเย็นที่สุด ในตอนเช้าตรู่ของวันใดวันหนึ่งในเดือนอ้าย ต่อเดือนยี่ แต่จะเป็นวันใดนั้น ทางวัดจะทำความตกลงกับอุบาสกอุบาสิกาเป็นปี ๆ ไป พอเช้าตรู่ของวันนัดหมาย พุทธศาสนิกชนก็จะพร้อมใจกันไปยังวัดที่ใกล้บ้านโดยจัดแจงยกเอาเครื่องประกอบในการ ทำขนมพื้นบ้านทั้งหลายที่เตรียมไว้ไปด้วย แล้วช่วยกันก่อกองไฟและทำขนมกัยนในทันทีทันใด ขนมที่นิยมทำกันได้แก่ขนมเบื้อง ขนมครกและขนมกรอก ส่วนการก่อไฟจะก่อกี่กองก็ได้แล้วแต่จำนวนพระภิกษุสงฆ์ในวัดนั้น ๆ หากมีหลายรูปก็ก่อหลายกอง หากมีน้อยก็ก่อน้อยกอง เมื่อก่อไฟแล้วก็นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาผิงไฟ เพื่อช่วยให้ร่างกายอบอุ่น เมื่อขนมที่ทำกันนั้นสุกได้ที่แล้วก็นิมนต์พระสงฆ์มาที่โรงฉันซึ่งมีกองไฟอยู่ใกล้ ๆ หรือไม่ก็ปูเสื่อรอบ ๆ กองไฟนั้น เมื่อพระสงฆ์มาสู่ที่ฉันเรียบร้อยแล้วก็ประเคนขนมที่ทำเสร็จใหม่นั้น ครั้นพระสงฆ์ฉันจนอิ่มโดยทั่วแล้วท่านก็ให้พรเมื่อให้พรจบแล้วพระสงฆ์ก็จะกลับไปปฏิบัติกิจของสงฆ์ซึ่งขณะนั้นอากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น เพราะแสงแดด หลังจากนั้นพุทธศาสนิกชนก็จะร่วมกันรับประทานขนมที่เหลือจากถวายพระกันเป็นที่สนุกสนานและช่วยกันขนของ ที่ใช้ประกอบ การทำขนมกลับบ้านด้วยความอิ่มเอิบในผลบุญที่ได้กระทำ ประเพณีการให้ทานไฟก็จบลงเพียงแค่นี้ ต่อมาประเพณีการให้ทานไฟได้เปลี่ยนแปลงไปบ้าง กล่าวคือพุทธศาสนิกชนได้มีการทำขนมต่าง ๆ เพิ่มขึ้นหลายชนิด แต่อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่ยังเป็นขนมพื้นบ้านง่าย ๆ ที่ทำเสร็จภายในเวลาอันรวดเร็ว ได้แก่ ขนมจู้จุนกล้วยแขก ข้าวเหนียวกวน ขนมกรุบ และข้าวเกรียบปากหม้อ เป็นต้น นอกจากนี้ในบางคราวก็มีการเลี้ยงอาหารคาวด้วย ในปัจจุบันประเพณีนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอีก กล่าวคือแต่เดิมพุทธศาสนิกชนจะไปทำขนมที่วัดพร้อม ๆ กับก่อไฟให้ภิกษุสงฆ์ ได้ผิงในวันที่อากาศหนาวเย็นที่สุด แต่เนื่องจากปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจเปลี่ยนไป การจะไปทำขนมอยู่ที่วัดอาจทำให้เสียเวลาในการ ประกอบอาชีพ ขนมที่จะถวายพระภิกษุสงฆ์ในวันให้ทานไฟจึงเป็นขนมที่ทำสำเร็จไปจากบ้านเมื่อไปถึงวัดก็ก่อไฟให้พระภิกษุสงฆ์ผิง และประเคนขนมถวาย เป็นอันเสร็จพิธี ประเพณีการให้ทานไฟเป็นเพณีที่ปฏิบัติด้วยเหตุผลทางพุทธศาสนา ผู้ปฏิบัตินอกจากจะได้รับความสุขใจ ความอิ่มเอิบใจ |