แหล่งกำเนิดของกริช
                นักวิชาการส่วนใหญ่ทั้งในอินโดนีเซีย  มาเลเซีย  ไทย  ตลอดจนถึงนักวิชาการชาวยุโรปต่างก็เชื่อกันว่ากริชเป็นอาวุธประเภทมีด  หรือดาบสองคมที่นิยมใช้กันมากในกลุ่มชนเชื้อสายชวา  มลายู  และชาวภาคใต้ของไทยเมื่อครั้งอดีตนั้นเป็นวัฒนธรรมของชาวฮินดูในยุคมัชปาหิต  จากการแผ่อำนาจทั้งทางการเมืองและทางวัฒนธรรมไปทั่วดินแดนหมู่เกาะต่าง ๆ  ของชวา-มลายู  ดังที่ได้นำมากล่าวไว้แล้วในเบื้องต้น  ค่านิยมและคติความเชื่อในเรื่องกริชเป็นศัสตราวุธของเทพยดา  เป็นอาวุธที่มีมหิทธานุภาพ  จึงได้แพร่หลายไปยังดินแดนใกล้ไกลในภูมิภาคนี้  เท่าที่มัชปาหิตแผ่อำนาจไปถึง  อาทิเช่น  อินโดนีเซีย  บรูไน  สิงคโปร์  บางส่วนของฟิลิปปินส์  และในภาคใต้ของประเทศไทย
                ส. พลายน้อย  (นามปากกา)  ได้กล่าวถึงตำนานของกริชว่า  “ตามตำนานของ  กริชกล่าวว่า  เริ่มมีในสมัยปันหยี  คือในสมัยอิเหนานั่นเอง  ตกอยู่ในราว  พ.ศ. 1460  แต่ในบางแห่งกล่าวว่า  “กริชเริ่มใช้ในสมัยปันหยี  สุริยอมิเสลาวงศ์  เมงดังกามูลัง  ศักราชชวา  1000  ปีเศษ  หรือในราว  พ.ศ. 1628  ปันหยีที่มีชื่อยืดยาวนั้นก็คือ  อิเหนาที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง...กริชที่ดีอีกแห่งหนึ่งนั้นคือที่เกาะบาหลี  เพราะเมื่อพวกมุสลิมเข้าทำลายราชอาณาจักรมายาพหิส  ซึ่งเป็นปลายวงศ์ฮินดูนั้นแล้ว  พวกช่างเหล็กที่เป็นกำลังใหญ่ของพวกอังควิชัยก็หนีไปอยู่เกาะบาหลี  เพราะไม่ยอมถืออิสลาม  ที่ทำกริชมีชื่ออีกสองแห่งก็คือ  กริชเกาะบันตัม  และแม่นางกระเบา”

Edward Frey  กล่าวว่า  กริชเป็นอาวุธที่วิวัฒนาการในชวากลางก่อนคริสต์ศตวรรษที่  14  จากต้นตอพราหมณ์  จากรายงานแรกสุดของรัฟเฟิลส์  (1817)  หลังจากไปดูซากปรักหักพังของเทวสถานพราหมณที่สุกุ  (Candi  Sukuh)  ซึ่งอยู่ห่างจากสุระการ์ตาไปทางตะวันออก  26  ไมล์  พบฉากเตาหลอมเป็นบานศิลาแกะสลัก  3  บานต่อกัน  แสดงภาพเชิงตำนานการทำกริช  โดยทำร่างภาพพระวิษณุมหาเทพองค์หนึ่งของพราหมณ์ทรงกริชในขณะที่ประทับเหนือครุฑอันเป็นเทพปักษี  แล้วจึงทำภาพและคำบรรยายของฉากเตาหลอมบานทางซ้ายแสดงถึงการหลอมกริช  โดยเทพเอ็มปุ  (empu)  องค์หนึ่ง  เทพดังกล่าวคือ  ภีมะ  (Bima)  ซึ่งเป็นเทพพราหมณ์ชั้นรององค์หนึ่ง  และเป็นพี่ชายอรชุน  ภาพบานชวาแสดงรูปอรชุน  (ซึ่งเป็นพันธมิตรและเขยของพระกฤษณะ)  กำลังใช้เครื่องสูบลมรูปทรงกระบอกแบบที่ช่างชาวมลายูรู้จักกัน  ภาพบานกลางแสดงรูปพระคเณศวร์เทพกุญชรและเทพแห่งการประสิทธิประสาทศิลปวิทยาการ  ผู้อำนวยให้การประดิษฐสิ่งใหม่ประสบความสำเร็จ  ซึ่งในการเช่นนั้น  ช่างฝีมือและช่างโลหะจะมีการเซ่นสรวงพระคเณศวร์เพื่อขอพร  บานศิลาแกะสลักที่จันทิสุกุนี้  อายุตกใน  ค.ศ. 1361  (พ.ศ. 1904)  และจากหลักฐานอื่น ๆ  รวมทั้งที่วัดพุทธบุโรบุโดอันมหึมา  ซึ่งสร้างเสร็จในคริสต์ศตวรรษที่  9  จากภาพศิลาจำนวนมากมายแสดงภาพมนุษย์ทุกแง่มุมแสดงการใช้หรือพกพาอาวุธต่าง ๆ  แต่ไม่มีกริชในภาพเหล่านั้น  ฉะนั้นกริชจึงดูว่าจะไม่มีในคริสต์ศตวรรษที่  9  แต่มามีในกลางคริสต์ศตวรรษที่  14  (Edward  Frey, 1986:5-7)
                ไพฑูรย์  มาศมินทร์ไชยนรา  กล่าวว่า  “กริชเป็นอาวุธสั้นประจำชาติมลายูมานานกว่า  600  ปีแล้ว  นอกจากจะใช้เป็นอาวุธยังใช้เป็นเครื่องหมายแสดงถึงตระกูลต่าง ๆ  ของกษัตริย์มลายูในสมัยนั้นด้วย  กริชที่เก่าแก่และดั้งเดิมที่สุด  คือกริช  Majapahit  และกริชที่ใช้ในประเทศชวา  กลางคริสต์ศตวรรษที่  14  เล่ากันว่า  ไม่ได้ใช้เป็นอาวุธเลย  เพียงแต่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นของขลังเท่านั้น” 
                ศัลตราวุธในวัฒนธรรมฮินดู-ชวา  ที่นิยมใช้กันแพร่หลายในกลุ่มชนเชื้อสายชวา-มลายูนั้น  อาจเนื่องมาจากความเสี่ยงภัยทั้งสิ้น  ทรัพย์สินและศักดิ์ศรีของชนกลุ่มนี้  เพราะสภาพทางธรณีสัณฐานที่เต็มไปด้วยเกาะแก่ง  หุบห้วย  เหวเนิน  จึงทำให้การสัญจรไม่สะดวก  ต้องพึ่งพาตนเอง  และต้องเผชิญกับอันตรายนานา  ทั้งกลุ่มชนที่ดุร้าย  โจรสลัด  และคนแปลกหน้า  จึงมีอาวุธประเภทที่พกพาติดตัวได้สะดวก  เช่น  กริช  มีดบาแดะ  (Badek)  มีดแด๊ง  (Pedang)  มีดหางไก่  (Lawi  ayam)  เป็นต้น

มีดบาแดะของนายวันอุสมาน  สาและ  บ้านเลขที่  7  ถนนยะยัง  อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี     ที่มา : สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์. 2543,77

                                           มีดแด๊ง หรือลาดิง บางท้องถิ่นเรียกว่า ดาบกะแลวัง           > มีดบาเแดะ เหล็กผสมเนื้อลาย ที่โคนใบมีดมีรอยตีนช้าง สัญญลักษณ์ของพระอุมา
ที่มา : สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์. 2543,77
มีดบาแดะ ของนายอุสมาน สาและ
มีดบาแดะ ของนายอุสมาน สาและ
ที่มา : สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์. 2543,77

 

เนื่องจากกริชเป็นศัสตราวุธที่มีกำเนิดมาจากวัฒนธรรมฮินดู-ชวา  ในสมัยอาณาจักร มัชปาหิตที่เกี่ยวเนื่องอยู่ในลัทธิไศวนิกาย  กริชจึงกลายมาเป็นสัญลักษณ์  หรือตัวแทนแห่งพระศิวะ ด้ามกริชแบบชวา-ฮินดูในอดีต  จึงมักจะแกะสลักเป็นรูปของเทพเจ้า  (พระศิวะ)  เพื่อความขลังความศักดิ์สิทธิ์  และเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่เจ้าของและผู้ที่นำเอากริชไปใช้  เทพดังกล่าวศิลปินหรือช่างผู้ประดิษฐ์จะสร้างสรรค์ออกมาให้อยู่ในรูปของยักษ์หรือรากษส  ซึ่งเป็นปางที่ดุร้ายขององค์พระศิวะปางหนึ่ง   หรือในตอนใดตอนหนึ่งของตำนานฮินดู  นอกจากนั้นในตากริชหรือใบกริชบางเล่ม  ช่างตีกริชจะสร้างให้มีลายตาเป๊าะกาเยาะห์  หรือลายตีนช้าง   อยู่ด้วย  ซึ่งลายดังกล่างนี้เป็นสัญลักษณ์ของโยนิโทรณะ  หรือสัญลักษณ์ของพระอุมา  อันเป็นศักดิขององค์พระศิวะบางเล่มจะมีหูหรือวงช้าง  ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขององค์พระคเณศวรอยู่ด้วยเช่นกัน  จึงเห็นได้ว่าทั้งชุดของกริช  ได้แก่  ด้ามกริช  และใบกริชนั้น  ได้มีสัญลักษณ์ของเทพในลัทธิไศวนิกาย  รวมอยู่ด้วยกันทั้งสามองค์  ดังนั้นการพกพากริชติดตัวหรือมีกริชเอาไว้ในบ้านเรือนก็เสมือนดั่งมีองค์พระศิวะพระอุมา  และพระคเณศวร  คอยปกป้องคุ้มครองแก่เจ้าของกริชและครอบครัวนั้น ๆ  อยู่ตลอดเวลา  คติความเชื่อในเรื่องกริชและค่านิยมในการใช้กริชจึงได้ซึมลึกและขยายตัวไปทั่วพื้นที่ที่ลัทธิฮินดู-ชวา  เคยแผ่ขยายตัวออกไปครอบคลุมเมื่อครั้งอาณาจักรมัชปาหิตเรืองอำนาจ  และได้แผ่กระจายเหลื่อมล้ำเข้าไปยังพื้นที่ที่ติดต่อหรือในพื้นที่ที่มีการเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรม  เช่น  ในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างและภาคใต้ตอนกลางของประเทศไทย  และในราชสำนักสยามทั้งในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์

<<< PREVIOUS  >>>