ลักษณะนกเขาชวา เช่น นกตัวใดมีแข้งเป็นสีแดง เล็บยาว ตาทั้ง 2 ข้างมีรอยขาวอยู่ข้างใน ถือว่าสามารถ
ระงับไฟไหม้ได้ นกตัวใดมีขนในปาก จะนำใชคลาภมาให้ผู้เลี้ยงอยู่เป็นนิจ และกันไฟไหม้ได้ นกตัวใดมีขนคอ
คล้ายลูกประคำแก้ว คือ เป็นรูปวงกลมติดกันอยู่รอบคอ เชื่อว่าสามารถป้องกันศัตรูได้ นกตัวใดมีขนหางนับได้ 11,
17 หรือ 19 เส้น ใครเลี้ยงไว้จะเป็นเศรษฐีและจะไม่มีโรคภัย นกตัวใดขันเสียง “ครู” จะให้คุณทางค้าขาย
และทำไร่นา ถ้านำน้ำที่นกตัวนั้นกินแล้วกระเซ็นออกมาไปประพรมในไร่นา เชื่อว่าพืชผลจะงอกงามบริบูรณ์ คติที่ถือกันในกลุ่มไทยพุทธ คือ ถ้านกตัวใดมีลักษณะเหมือนองค์พระ คือที่ปีกทั้ง 2 ข้าง มีรูปเหมือนตัวอักษร “นะ” ตรงกลางขนหางมีรูปเหมือนตัวอักษร “โม” ขนที่คอมีรูปเหมือนอักษร “พุท” ขนที่โคนหางมีรูปเหมือนตัวอักษร “ธา” และที่ปลายหางมีรูปเหมือนอักษร “ยะ” ท่านว่ามีค่าควรเมือง ดังนี้เป็นต้น มัลลิกา คณานุรักษ์, สารานุกรมวัฒนธรรมไทย
ภาคใต้ เล่ม 8, 2542 : 3575) เนื่องจากคติการเลี้ยงนกมิได้เป็นของต้องห้าม จึงยังดำรงอยู่ทั้งวิถีและพลังจวบจนปัจจุบัน สำหรับในระดับวัฒนธรรมเมืองของปัตตานี มีประเพณีแห่นกสวรรค์ ในโอกาสสำคัญ เช่น การับแขกเมือง นกสวรรค์ตามตำนานชาวา ได้แก่ (1) นกกาเฆาะซูรอ หรือนกกากะสุระ (นการเวก) (2) นกกรุดา คือครุฑ
(3) นกบือเฆาะมาศ คือนกยูงทอง (4) นกบุหรงซีงอหรือนกสิงห์ มีรูปร่างคล้ายราชสีห์ ตุรงกะ หรือดุรงค์ คือ ม้า นอกจากหมายถึงสัตว์พาหนะ ยังมีความหมายโดยนัยว่า “ผู้ไปเร็ว” เป็นคุณลักษณะของความเป็นชายชาตรี แบบชายชาติ
“อาชาไนย” คือเป็นผู้ผ่านการฝึกมาอย่างดีแล้ว มีความกล้าหาญ เป็นนักเลง เป็นผู้ “มีวิชา” (ในยุคโบราณหมายถึง
รู้กฤตยาคุณ รู้คาถาอาคม เป็นต้น) และจุริกะหรือ จุรีกา หมายถึง อาวุธ คือ กริช ตามตำรากริชซึ่งเป็นหนังสือบุดขาว อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี กล่าวถึงลายกริชประมาณ 50 ลาย มีคำเกริ่นนำว่า “ตำรากริชนี้จะบอกไว้แก่ท่าน
ทั้งหลาย ถ้าผู้ใดจะซื้อกริชให้ดูตำรานี้เสียก่อน ต่อหาซื้อเอาถ้าว่าถูกต้องเหมือนในที่ตำรากล่าวไว้นั้น ผู้นั้นเขาจัดว่ามีวาสนา
คนเลื่องลือ ความครันมากมาย ข้าคน วัว ควาย ทรัพย์สินทั้งหลายมีอยู่ครบครัน ถ้าหากวาสนาไม่มีให้หาจนตาย
ไม่พบสักอัน หากลายไม่ครบพอใช้ได้ให้หาเพียงนั้นพอสบายใจ เราและเพื่อนฯ” บางลายบ่งว่างูขบเรามิได้, ลายนี้ล้างน้ำข้าวปลูกดีนักแล, เป็นเสน่ห์ผู้หญิง ฯลฯ อนึ่งตามคติความเชื่อของชาวใต้ตอนล่างว่ากริชที่ส่วนกลางของใบกริชมีรอยแตกทะลุ เชื่อกันว่ามีความขลังมากกว่า
กริชที่ไม่มีรอยทะลุ ดังนี้เป็นต้น
“ในพิธีแต่งงานของมาเลเซียและอินโดนีเซีย แม้ในปัจจุบันกริชยังเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกายตามประเพณี
ของเจ้าบ่าว ทำให้ภาพลักษณ์ของเจ้าบ่าวในสายตาเจ้าสาวและครอบครัวนั้นรู้สึกว่าเป็นคนที่ควรแก่การยอมรับ กริชที่เจ้าบ่าวเหน็บนั้นเป็นของขวัญจากบิดาของเจ้าสาว หรือถ้าบิดาไม่อาจมอบให้ได้ก็จะเป็นของขวัญจากพี่ชายของเจ้าสาว...ตามธรรมเนียมมลายู กริชเป็นทียอมรับว่าเป็นตัวแทน
ของเจ้าบ่าว ถ้าเจ้าบ่าวมีเหตุใดที่จะไปเองตามวันที่กำหนดไม่ได้ เจ้าสาวจะเข้าพิธีแต่งงานกับกริชของเจ้าบ่าวก็ได้” |