ตำนานการแห่ผ้าขึ้นธาตุ |
ในสมัยอาณาจักรศรีวิชัย ราว พ.ศ. 1773 ในสมัยพระเจ้าสามพี่น้อง คือ พระเจ้าศรีธรรมโศกมหาราช พระเจ้าจันทรภาณุและพระเจ้าพงษาสุระทรงประกอบพระราชพิธีวิสาขะสมโภชพระบรมธาตุครั้งแรกเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับพุทธศาสนิกชน กลุ่มหนึ่ง ที่ลงเรือมาจากเมืองอินทรปัตซึ่งอยู่แถวลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อนำพระบฏไปถวายเป็นพุทธบูชาพระทันตธาตุคือ พระเขี้ยวแก้วที่เกาะลังกา (ประเทศศรีลังกา) แต่เรือถูมรสุม หัวหน้าพุทธศาสนิกชนกลุ่มนี้ตาย เหลือเพียงบริวารรอดขึ้นฝั่งที่ท่าศาลา ประมาณ 10 คน ส่วนพระบฏถูกคลื่นซัดขึ้นฝั่งที่ปากพนัง |
ที่มา : ใต้...หรอย มีลุย.2547,34 |
ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชประสงค์ให้พุทธศาสนิกชนจัดพิธีทางศาสนาพุทธ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ชาวเมืองจึงจัดให้มีการเวียนเทียนรอบพระบรมธาตุเจดีย์อีกวัน (แต่ในวันนี้ไม่มีการสวดสมโภชพระบรมธาตุแต่อย่างใด) ประชาชนที่มาจากต่างเมืองจึงได้ถือเป็นโอกาสเอาผ้าที่เตรียมมาแห่ขึ้นห่มพระธาตุ ด้วยเหตุนี้ ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุของเมืองนครจึงมีปีละ 2 ครั้ง คือในวันเพ็ญเดือนสาม (วันมาฆบูชา) และในวันเพ็ญเดือนหก (วันวิสาขบูชา) แต่ด้วยสมัยก่อนการคมนาคมไม่สะดวก ประชาชนจึงนิยมเข้าร่วมประเพณีนี้ในวันเพ็ญเดือนสามมากกว่าวันเพ็ญเดือนหก เพราะในเดือนสามน้ำในแม่น้ำลำคลองจะเต็ม ส่วนในเดือนหกน้ำจะแห้ง ผ้าพระบฎ เป็นผ้าที่เขียนเรื่องราวพุทธประวัติ ปัจจุบันการทำผ้าพระบฏเป็นการยากและต้นทุนสูง จึงใช้เป็นผ้าขาว ผ้าเหลือง ผ้าแดงสุดแต่จะชอบ ชื่อประเพณีก็คงเหลือเพียง แห่ผ้าขึ้นธาตุ เป็นพุทธบูชา แต่เดิมการแห่ผ้าขึ้นธาตุ จะนัดหมายโดยพร้อมเพรียงเป็นขบวนใหญ่เดินเป็นแถวเรียงเป็นริ้วยาวไปตามความยาวของผ้า ทุกคนเทิน (ทูน) ผ้าพระบฏไว้เหนือศีรษะ และมีดนตรีพื้นบ้านนำขบวนได้แก่ ดนตรีหนังตะลุง ดนตรีโนรา ปัจจุบันการเดินทางสะดวกขึ้น ผู้คนที่ศรัทธามาจากหลายทิศทางต่างคนต่างคณะก็เตรียมผ้ามาห่มพระธาตุ ใครจะตั้งขบวนแห่ผ้าขึ้นธาตุ จึงมีตลอดทั้งวันไม่ขาดสาย (ใต้...หรอย มีลุย.2547,34-35) |