สำหรับวิธีบรรเลงและขนบนิยมในการแสดงนั้น จะแยกกล่าวเป็นข้อ ๆ ดังนี้
๑. การรับกาหลอไปประโคม
๒. การปลูกสร้างโรงกาหลอ
๓. เครื่องประกอบพิธี
๔. ผู้เล่นและขนบนิยมก่อนการประโคม
๕.การประโคมกาหลอคุมศพและนำศพ
๑. การรับกาหลอไปประโคม ในปัจจุบันกาหลอจะไปประโคมเฉพาะในงานศพเท่านั้น
การประโคมในงานศพจะมี ๒ ลักษณะคือ
๑.๑ การประโคมนำศพ กาหลอจะประโคมเฉพาะตอแห่นำศพไปเผาที่วัดหรือป่าช้า และประโคมขณะที่เผาศพจนเสร็จพิธีเผาเท่านั้น
๑.๒ การประโคมคุมศพ หมายถึงการประโคมคุมศพที่บ้านของผู้ตายประโคมนำศพและประโคมขณะที่เผาศพจนเสร็จพิธีเผา
การรับกาหลอไปบรรเลงนั้น เจ้าภาพจะต้องเตรียมหมาก ๑ คำ หรือ ๓ คำไปยังบ้านของผู้เป่าปี่กาหลอ ถ้ากาหลอรับจะไปประโคมก็จะรับหมากจากผู้ไปบอก และนำหมากขึ้นไปตั้งบนหิ้งครูหมอกาหลอ เป็นการบูชาครูและบอกกล่าวให้ทราบ หลังจากนั้นก็จะต้องนัดวันที่ไปประโคมที่แน่นอน และเจ้าภาพจะต้องเตรียมเงินค่าเบิกปากปี่ ๓ บาท ค่าขึ้นครู ๙ บาท และค่าราดขวัญข้าวตามแต่จะตกลงกัน เพื่อมอบให้แก่คณะกาหลอในวันที่เดินทางไปถึงบ้านที่กาหลอไปประโคม
๒. การปลูกสร้างโรงกาหลอ เมื่อว่าจ้างกาหลอมาประโคมแล้ว เจ้าภาพต้องสร้างโรงพิธีให้กาหลอเข้าพักและประโคม โรงกาหลอเรียกว่า “โรงฆ้อง” โรงฆ้องที่สร้างจะต้องให้ส่วนยาวของโรงพุ่งจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตกเสมอ จะปลูกขวางตะวันไม่ได้ขนาดของโรงกว้าง ๕ ศอก ยาว ๗ ศอก หลังคาเป็นรูปหน้าจั่ว หันหน้าโรงไปทางทิศตะวันตกเช่นเดียวกับศีรษะของศพ จะต้องไม่สร้างรอดใต้ขื่อ หลังคามุงด้วยจากหรือแชง (๑๐) ฝาโรงใช้จากหรือใบมะพร้าวกั้นก็ได้ พื้นโรงสูงประมาณ ๑ ฟุต
๓. เครื่องประกอบพิธี เครื่องประกอบพิธีซึ่งกาหลอจะต้องใช้และจะขาดไม่ได้มีดังนี้
๓.๑ เสื่อปูโรงพิธี ใช้ปูเพื่อให้ผู้ประโคมกาหลอนั่ง และส่วนหนึ่งจะใช้หมอนว่างทับ
และมีผ้าขาวปูทับหมอน เพื่อได้เป็น “ที่ครู” เมื่อคณะกาหลอทำพิธีเข้าโรงแล้วจะต้องวางปี่ฮ้อพิงหมอนตรงที่ครู โดยให้หางปี่ตั้งขึ้น
๓.๒ ที่ ๑๒ หมายถึงถาดใส่อาหาร ๑๒ อย่าง บางคนเรียกว่า “ข้าวสิบสอง” เพราะในถาดอาหารนั้นจะมีถ้วยเล็ก ๆ สำหรับใส่อาหาร ๑๒ ใบ อาหารมีทั้งคาวและหวานที่ ๑๒ จะต้องจัด ๒ ครั้ง คือตอนเข้าโรงและลาโรง
๓.๓ ไก่ต้ม ๑ ตัว และมะพร้าวอ่อน ๑ ลูก
๓.๔ แป้งจันทน์ น้ำมันหอม
๓.๕ พานใส่ดอกไม้ ธูป เทียน ๓ เล่ม หมาก ๙ คำ ด้ายขาว ๑ ริ้ว และเงินเบิกปากปี่ ๓ บาท
๓.๖ เหล้าขาว ๑ ขวด
๓.๗ ผ้าขาวขึงเพดาน เพื่อขึงเพดานตรงกับที่ครู ในผ้าขาวขึงเพดานใส่หมาก ๙ คำพร้อมกับดอกไม้ธูปเทียน
๔. ผู้เล่นและขนบนิยมก่อนการประโคม ผู้เล่น ผู้เล่นกาหลอซึ่งจะเข้าประโคมในโรงพิธีนั้นมี ๔ คน เป็นคนเป่าปี่ ๑ คน ผู้ตีกลองทน ๒ คน และผู้ตีฆ้องอีก ๑ คน
เมื่อถึงเวลาที่จะไปประโคมกาหลอ คณะกาหลอจะหยิบเครื่องดนตรีลงจากเรือนไปทันที โครจะเจ็บไข้หรือเกิดอะไรขึ้น จะหลับไปจับต้องดูแลไม่ได้ ก่อนออกจากเขตบ้านจะต้องทำพิธี “กันเรือน” และ “กันตัว” โดยเดินเวียนขวารอบบ้าน ๓ รอบ พร้อมกับ พร้อมกับบริกรรมคาถาป้องกันเสนียดจัญไรไปด้วย และจะต้องตรวจดูว่ามีกิ่งไม้ใบไม้พาดหลังคาบ้านอยู่หรือไม่ ถ้ามีจะต้องดึงหรือฟันออกให้หมด ต่อจากนั้นกาหลอจะออกเดินทางไปยังบ้านเจ้าภาพโดยไม่แวะเวียนที่ใด
พอถึงบ้านเจ้าภาพก็ต้องตรวจดูโรงที่ปลูกสร้างว่าเรียบร้อยหรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้องกาหลอจะไม่ยอมเข้าโรง จนกว่าจะแก้ไขให้ถูกต้อง และเจ้าภาพจะต้องเตรียมเครื่องบูชาครูให้แก่คณะกาหลอ เมื่อถึงเวลา “นกชุมรัง” คือเวลาที่พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า และนกกำลังบินกลับรัง คณะกาหลอทำพิธีเข้าโรง โดยบริกรรมคาถา “กันโรง” และ “กันตัว” มีการประพรมน้ำมนต์ที่บ้านเจ้าภาพโรงพิธีและคณะกาหลอทุกคน เพื่อขับไล่ภูตผีปีศาจ และเสนียดจัญไรทั้งปวง
ต่อจากนั้นหัวหน้าคณะกาหลอ (ผู้เป่าปี่) ก็หยิบหมาก ๑ คำ เทียน ๑ เล่มและให้นำปี่ฮ้อ กลองทน ฆ้องมาตั้งรวมกันกลางดินหน้าโรงพิธี และนั่งยอง ๆ ทำพิธีรำลึกถึงบริถิวกรุงพาลี พระภูมิเจ้าที่นางธรณี และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเพื่อขอที่ตั้งโรงพิธีและอย่าให้มีอันตรายใด ๆ บังเกิดแก่เจ้าของบ้าน
เมื่อทำพิธีขอที่ตั้งโรงเสร็จแล้ว หัวหน้าคณะกาหลอจะลุกขึ้นยืน ยื่นมือเข้าไปทาบที่ประตูโรงพร้อมกับบริกรรมคาถาป้องกันและปิดโรงเพื่อป้องกันเสนียดจัญไรอีกครั้งหนึ่ง ต่อจากนั้นหัวหน้าคณะกาหลอก็จะกลิ้งฆ้องเข้าโรงพิธี แล้วก็ออกไปกลิ้งทนและถือปี่เข้าโรงฆ้องโดยมีผู้ตีทน และผู้ตีฆ้องเดินตามเข้าไปด้วย หัวหน้าวงกาหลอจะตั้งปี่ไว้บน “ที่ครู”
เมื่อคณะกาหลอเข้าโรงแล้ว หัวหน้าวงกาหลอจะเรียกเอาเครื่องประกอบพิธีทุกอย่างที่ให้เจ้าภาพจัดเตรียมไว้ และเริ่มทำพิธีไหว้ครูโดยตั้งนโม 3 จบ และทำพิธีชุมนุมเทวดา อัญเชิญครูกาหลอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต่อจากนั้นจะสรรเสริญคุณบิดามารดา ครูอาจารย์ พระรัตนตรัย และถวายของเซ่นครูหมอกาหลอ
ขั้นต่อไปหัวหน้าวงกาหลอจะเริ่มทำพิธี “เบิกปากปี่” โดยนำปี่ฮ้อมาหงายด้านปากปี่ขึ้นใช้เหล้าเทลงในปากปี่ ใช้เทียนไข ๑ เล่มจุดไฟ หมาก ๑ คำ เงิน ๓ บาท ตั้งประกอบพิธีพร้อมกับบริกรรมคาถาไปด้วย เมื่อบริกรรมคาถาจบลงหัวหน้าคณะวงกาหลอจะตั้งปี่บน “ที่ครู” ให้ปากปี่หันเข้ามาหาตัว แล้วหยิบแม่ทนซึ่งตั้งอยู่ทางซ้ายมือมาเขียนยันต์ที่หน้าทนด้านโต พร้อมกับบริกรรมคาถาประกอบไปด้วย ขณะบริกรรมคาถาใช้มือลูบหน้ากลองทน ใช้ไม้ตีกลองที่เป็นแม่ทน ๓ ครั้ง เรียกว่า “ตีกลองหวัน” หรือตีกลองสวรรค์นั่นเอง พร้อม ๆ กันนั้นผู้ประโคมดนตรีคนอื่น ๆ ก็ลั่นฆ้องและตีทนอีกใบหนึ่งคนละ ๓ ครั้งด้วย การลั่นฆ้องตีทนในตอนนี้ก็เพื่อให้เทวดารับรู้ว่าจะเริ่มพิธี “คุมศพ” แล้วต่อจากนั้นก็เป็นการประโคมดนตรีกาหลอเพื่อคุมศพ
เมื่อคณะกาหลอเข้าไปอยู่ในโรงพิธีแล้ว จะออกไปไหนมาไหนไม่ได้ จนถึงเวลาเลยเที่ยง
วันของวันรุ่งขึ้นจะออกมาได้ อาหารการกินจะต้องไปปะปนกับใคร จะรับของจากมือของผู้หญิงไม่ได้อย่างเด็ดขาด และจะชักชวนให้ใครเข้าไปนั่งในโรงพิธีไม่ได้เพราะถือว่าเป็นการสำเสนียดจัญไรเข้าโรงพิธี
๕. การประโคมกาหลอคุมศพและนำศพ การประโคมกาหลอเริ่มอย่างจริงจังหลังจากที่ตี ”กลองหวัน” แล้วนั่นเอง เพลงแรกที่กาหลอประโคมคือคาถาป้องกันอันตราย ต่อจากนั้นก็ประโคมเพลงไหว้พระเพลงลาพระ
เมื่อประโคมเพลงลาพระจบลงแล้ว หัวหน้าคณะกาหลอจะบริกรรมคาถาส่งลมปี่ ๓ จบ เพื่อให้ผู้ฟังหลงใหล ต่อจากนั้นกาหลอก็ประโคมเพลงต่อไปอีกโดยเลือกเพลงจากเพลงแม่บท ๑๒ เพลง หรือเพลงอื่น ๆ ก็ได้ เพลงที่มาประโคมนั้นจะต้องคำนึงถึงขนบนิยมในการประโคมด้วย เช่น นิยมประโคมเพลงทอมท่อมในตอนดึก เพลงทองศรีในตอนใกล้รุ่งและเพลงแสงแก้วแสงทองขณะที่พระอาทิตย์ฉายแสงขึ้นมา เป็นต้น
ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นคณะกาหลอจะยังคงประโคมไปตามปกติ อาจจะพักผ่อนเพื่อกินหมากกินพลูหรือรับประทานอาหารบ้าง และจะประโคมต่อไปจนกระทั่งถึงวันเผาศพ
เมื่อถึงวันกำหนดเผาศพ ในตอนเช้าเจ้าภาพจะถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์เมื่อพระฉันอาหารเสร็จกาหลอจะบรรเลงเพลงนกเปล้า นอกจากนี้เจ้าภาพจะต้องจัดเตรียมสิ่งของต่าง ๆ ซึ่งใช้ ”เบิกทาง” และจะต้องนิมนต์พระ ๑ รูปเพื่อเดินนำศพด้วย
ครั้นใกล้จะถึงเวลาบ่ายโรงตรงซึ่งจะทำพิธียกศพ คณะกาหลอจะทำพิธีออกจากโรงหรือลาโรงหัวหน้าคณะกาหลอจะบริกรรมคาถา “กันตัว” และ “กันโรง” และใช้มีดตัดด้ายซึ่งผูกมุมผ้าขาวคาดเพดาน ๑-๒ มุม จนผ้าขาวห้อยลงมา ต่อมาก็เลิกเสื่อหาทางออกจากโรง จะเดินออกจากโรงตรงกับทิศหลาวเหล็กไม่ได้อย่างเด็ดขาด บางครั้งอาจจะต้องออกทางข้างโรงหรือหลังโรง ก่อนเดินออกหัวหน้าคณะกาหลอจะต้องเป่าปี่ลงโรง และใช้มีดตัดจาก ๓ ตับ (ถ้าหลังคาเป็นใบเตยก็ตัดใบเตย) แล้วผลักจากให้หลังคาเป็นช่องโหว่ขณะตัดและผลักจากที่มุงหลังคาตนเองบริกรรมคาถา เพื่อให้มิมิตว่าทลายโรงพิธี ขณะเดินออกจากโรงหัวหน้าคณะกาหลอต้องเดินนำและกลิ้งกลองทนออกมา พร้อมกับริกรรมคาถาไปด้วย เมื่อก้าวออกจากโรงพิธีหัวหน้าวงจะก้าวเท้าเดินเลี่ยงเป็นมุม ๔๕ องศา จะเลี่ยงไปทางซ้ายหรือขวาก็ได้ และผู้ประโคมดนตรีจะต้องเดินตามไปทางเดียวกันหมด
เมื่อออกมาจากโรงพิธีแล้ว หัวหน้าคณะกาหลอจะต้องนำปี่มาวางบนพื้นดินตรงหน้าโรงพิธีพร้อมด้วยหมาก ๑ คำ และเทียน ๑ เล่ม แล้วออกชื่อบริถิวกรุงพาลี พระภูมิเจ้าที่ ว่าจะนำศพไปวัดขออย่าให้มีอันตรายใด ๆ และขอเลิกถอนสิ่งต่าง ๆ ที่ทำพิธีไว้ตอนเข้าโรงทั้งหมด หลังจากนั้นคณะกาหลอจะต้องเข้าไปสำรวจดูการคาดคานหามที่โลงศพว่าถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้องกาหลอจะไม่ยอมนำศพไปอย่างเด็ดขาด จนกว่าเจ้าภาพจะได้แก้ไขให้ถูกต้อง
การนำศพจะเริ่มด้วยพระภิกษุกรวดน้ำอุทิศให้แก่ผู้ตาย และทำพิธีเบิกทาง หลังจากนั้นกาหลอจะบอกให้ยกศพ คนหามก็จะยกศพขึ้นพร้อมกัยนกาหลอจะบริกรรมคาถาป้องกันอันตรายทั้งปวง และบริกรรมคาถาบังคับให้ผีไปตามทางไม่แวะเวียนอยู่ที่ใด เมื่อเริ่มออกเดินคณะกาหลอจะประโคมเพลง “เหยี่ยวเล่นลม” เพื่อสวดอ้อนวอนให้พระพายผู้เป็นเทพเจ้าแห่งลมมารับดวงวิญญาณของผู้ตายไปสู่สวรรค์ และประโคมเพลง “ทอมท่อม” เพื่ออ้อนวอนขอให้พระชัยเสนมารับดวงวิญญาณของผู้ตายไปสวรรค์ด้วย พอเข้าเขตป่าช้าคณะกาหลอจะประโคมเพลง “ยั่วยาน” เพื่อขอถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าให้มาช่วยคุ้มครองและแนะนำหนทางที่จะไปสวรรค์ให้ เมื่อเพลง “ยั่วยาน” จบลง กาหลอจะต้องบริกรรมคาถาทักป่าช้า เสร็จแล้วจะบรรเลงเพลง “สุริยน” เพื่อป้องกันเสนียดจัญไร และภูตผีปีศาจทั้งปวงต่อจากนั้นหัวหน้าวงกาหลอจะก้าวเท้าซ้ายเข้าป่าช้า พร้อมบริกรรมคาถาป้องกันอันตรายให้แก่ทุกคนที่ร่วมขบวนเข้ามาด้วย
เมื่อนำศพเข้าไปถึงเชิงตะกอน กาหลอจะนำไม้มาวางเรียงขนานกัน ๓ ท่อน เรียกว่า “ทอดเชิงตะกอน” ผู้หามศพจะหามศพเวียนซ้ายรอบเชิงตะกอน ๓ รอบ และวางศพบนเชิงตะกอน กาหลอก็จะนั่งลงประโคมศพต่อไป ก่อนจะนั่งจะต้องรูดใบไม้พร้อมกับบริกรรมคาถา และโปรยใบไม้ลงบนพื้นดินแล้วจึงนั่งทับลงไป การประโคมของกาหลอในตอนนี้ใช้เพลง “ทองศรี” เพื่ออ้อนวอนพระกาฬให้มารับดวงวิญญาณของผู้ตายไปสู่สวรรค์ และประโคมเพลง “พลายแก้วพลายทอง” เพลง “นกเปล้า” หลังจากที่พระบังสุกุลเสร็จแล้ว
ขณะที่เผาศพ คณะกาหลอจะบรรเลงเพลง “สุริยน” เพื่อกระทุ้งเพดานฟ้าที่ครอบเมรุเปิดทางให้วิญญาณขึ้นสู่สวรรค์ เมื่อไฟลุกมากขึ้นก็ประโคมเพลง “พระพาย” เพื่ออ้อนวอนให้พระพายนำดวงวิญญาณไปสู่สวรรค์ และเมื่อไฟลุกท่วมโลงก็ประโคมเพลง “หัดบดฝ้าย”
เมื่อศพที่เผากลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วคณะกาหลอก็เตรียมตัวกลับบ้าน แต่ก่อนจะกลับต้องประโคมเพลงไหว้พระ เพลงลาพระ และเพลงอื่น ๆ อีกตามแต่กาหลอจะเลือกมาประโคม แต่ต้องจบลงด้วยเพลง “สัมสาม” เพื่อขจัดอันตรายทั้งปวง
เมื่อเพลง “สัมสาม” จบลง หัวหน้าคณะกาหลอจะนำปี่ไปใส่ในฆ้อง นำน้ำมนต์ หมาก ๑ คำ เทียน ๑ เล่ม เงิน ๓ บาท และข้าวบอก (๑๑) ใส่ลงไปด้วยต่อจากนั้นหัวหน้าคณะกาหลอจะเป็นผู้นำเครื่องเซ่นดังกล่าวเซ่นผีเจ้าป่าช้า ยายกาลี ตากาลา ฝากฝังผีผู้ตายว่าอย่ารบกวน อย่าเฆียนตี และหย่าหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ ปล่อยให้เขาไปเถิดเมื่อถึงเวลา เมื่อทำพิธีเซ่นเจ้าป่าช้าเสร็จแล้วเจ้าภาพและญาติพี่น้องของผู้ตายจะนำเอาน้ำมนต์จากในฆ้องซึ่งตั้งอยู่ประพรมบนศีรษะ เพื่อมิให้ได้ยินเสียงปี่ เสียงฆ้องและกลองทนอีกต่อไป หลังจากนั้นหัวหน้าคณะกาหลอจะบริกรรมคาถาและคว่ำฆ้อง และเดินทางกลับบ้านพอ ก้าวขาออกจากป่าช้าจะต้องหักกิ่งไม้มาขวางทาง และบริกรรมคาถาป้องกันมิให้ผีตามออกมาจากป่าช้า
การเดินทางกลับบ้านของคณะกาหลอ จะต้องเดินย้อนกลับตามทางเดิมที่แห่ศพมาจนพ้นเขตวัดจึงตัดลัดไปทางอื่นได้ (๑๒) เมื่อกลับถึงบ้านจะต้องบริกรรมคาถา “กันเรือน” และคาถา ”กันตัว” เช่นเดียวกันกับที่ออกจากบ้าน หลังจากนั้นภรรยาและลูกจะนำน้ำสะอาดมา ๑ ขัน จะไม่พูดจาต่อกันแต่อย่างใด ภรรยาและลูกจะต้องช่วยกันล้างเท้าของกาหลอจนสะอาดเมื่อล้างเท้าเสร็จกาหลอก็จะพูดกับใครต่อใครได้ ต่อจากนั้นก็จูงมือภรรยาและลูกขึ้นบ้าน ตั้งทนและฆ้องไว้ในที่เดิม ส่วนปี่ตั้งไว้บนหิ้ง “ที่ครู” พร้อมกับตั้งหมาก ๑ คำไว้ด้วย อัญเชิญครูกาหลอให้กินหมากกินพลู แล้วก็เข้านอน (๑๓)
________________________________
(๑๐) ใช้ใบเตยเย็บเป็นผืน ๆ มีขนาดกว้างยาวตามแต่ต้องการ ชาวชนบทในภาคใต้นิยมใช้มุงหลังคาขนำหรือ
ร้านเล็ก ๆ ในสวน
(๑๑) เป็นข้าวซึ่งลูกคนโตหรือคนสุดท้ายของผู้ตายเป็นผู้หุง วิธีหุงเอาข้าวใส่
กระป๋องใส่น้ำตั้งไว้บนเตาไฟโดยไม่สนใจ เมื่อสุกจึงนำไปห่อด้วยหางใบตองรวมกับปลามีหัวมีหาง
(๑๒) วิเชียร ณ นคร และคนอื่น ๆ นครศรีธรรมราช หน้า ๓๒๑.
(๑๓) พร้อม สวัสดิพันธ์ ผู้ให้สัมภาษณ์ ชวน เพชรแก้ว ผู้สัมภาษณ์ ณ บ้านเลขที่ ๑๐๐ หมู่ที่ ๕ ตำบลวังหิน อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๒. |