สถานภาพของมะโย่งในปัจจุบัน
สถานภาพของมะโย่งในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นมะโย่งในรัฐกลันตันหรือในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย
ต่างก็อยู่ในสภาพรอเวลาเตรียมพร้อมที่จะหายตายไปจากสังคม โอกาสที่จะมีการสืบสานรับช่วงถ่ายทอดต่อไปนั้น
ดูจะว่างเปล่า ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างในสภาพสังคมปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยให้การละเล่นชนิดนี้อยู่รอดต่อไปได้อย่าง
สง่างาม ปัจจัยดังกล่าวคือ
๑. ความเชื่อในศาสนาอิสลาม เมื่อหลายปีมานี้การละเล่นมะโย่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการละเล่นที่ขัดกับ
หลักคำสอนในศาสนาอิสลามทำให้นักวิชาการและนักวัฒนธรรมของประเทศมาเลเซียต้องจัดการสัมมนาทางวิชาการ
หาข้อพิสูจน์ว่ามะโย่งขัดกับหลักคำสอนในศาสนาอิสลามจริงเท็จมากน้อยเพียงใด คำกล่าวหาในลักษณะนี้เกิดขึ้นใน
บริเวณจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยเช่นกัน แต่ไม่รุนแรงมากเท่ากับในรัฐกลันตันของมาเลเซีย แต่มีผลต่อการคงอยู่
ของการละเล่นชนิดนี้ด้วยเช่นกัน ทำให้ชาวบ้านไม่กล้าจัดงานแสดงหรืองานการละเล่นภายในหมู่บ้าน หรืออำเภอ
เพราะเกรงว่าจะถูกครหาว่าไม่สนใจ
คำสอนในศาสนาอิสลามที่ห้ามไม่ให้มีการละเล่น การแสดงมะโย่งทุกวันนี้
จึงไม่มีการป่าวประกาศให้ทราบว่าจะมีการแสดงเกิดขึ้น การแสดงจึงอยู่ในสภาพหลบ ๆ ซ่อน ๆ และที่แสดงกัน
อย่างเปิดเผยก็จะเป็นการแสดงเพื่อการสาธิตให้ชม ข้อถกเถียงกันว่ามะโย่งขัดกับหลักคำสอนในศาสนาอิสลามนั้น
มีส่วนถูกต้องแต่ไม่ใช่ทั้งหมด และยังเป็นข้อถกเถียงที่ยังหาบทสรุปไม่ได้ แต่ที่แน่ ๆ คือศาสนาอิสลามมิได้ห้าม
ไม่ให้มนุษย์สร้างวัฒนธรรมเพราะวัฒนธรรมและศาสนาเป็นสองสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียว แยกออกจากกันไม่ได้
และมนุษย์ต้องการความสุขสมบูรณ์ทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ หากขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปการดำรงชีวิตก็ลำบาก
ดังคำอธิบายของคุณซีดี ฆาซัลบา (๑๐) (Sidi Gazalba) ว่า ในการดำรงชีวิตของอิสลามนั้นอันดับแรกคือ
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน นั่นคือวัฒนธรรม ศาสนามุ่งหาความสงบสุขที่เป็นนิรันดร์
ในโลกหน้า และวัฒนธรรมสร้างความสงบสุขในการดำรงชีวิตของมนุษย์ในโลกนี้ แต่การปฏิบัติตามวัฒนธรรม
ในโลกนี้จะส่งผลถึงโลกหน้าด้วย ศาสนาและวัฒนธรรมจึงเป็นสองสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้
พระเจ้าเป็นผู้สร้างศาสนาอิสลาม และได้วางหลักการกฎระเบียบได้ปฏิบัติโดยที่มนุษย์ไม่มีสิทธิ์แก้ไข
แต่วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมามีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามค่านิยม
ของสังคมได้ตลอดเวลา แต่ทั้งนี้จะต้องอยู่ภายในกรอบของศาสนาด้วย เช่นอิสลามกำหนดให้สตรีแต่งกายให้มิดชิด แต่อิสลามไม่ได้กำหนดแบบเสื้อให้มนุษย์เป็นผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายของตนเองโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนา
เช่นเดียวกันกับการมีชีวิตอยู่ในสังคม หากมุสลิมทุกคนมุ่งใฝ่หาความสุขแต่ในโลกหน้าอย่างเดียว โดยไม่สนใจวัฒนธรรมซึ่งเป็นกิจกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อสนองความต้องการคนในสังคมให้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข
และอยู่เป็นสังคม หากละเลยจุดนี้ไปเท่ากับว่าอยู่โดยลำพังอย่างผู้โดดเดี่ยวไร้ความสุข
เนื่องจากการศึกษาวัฒนธรรมของกลุ่มชนชาวไทยเชื้อสายมลายูคือการศึกษาศาสนาอิสลามที่พวกเขานับถือ
ตลอดจนความเชื่อต่าง ๆ ที่บรรพบุรุษเคยปฏิบัติกันมา ดังนั้น การศึกษาวัฒนธรรมการละเล่นมะโย่งของพวกเขาจำเป็น
จะต้องเข้าใจบริบทเหล่านี้ด้วย จึงจะทำให้เราเข้าใจได้ว่าเพราะเหตุใดความคงอยู่ของการละเล่นมะโย่งในปัจจุบัน
มีแนวโน้มที่จะสูญสลายไป ศาสนาอิสลามมีส่วนทำลายศิลปะนี้ด้วยอย่างไร มากน้อยเพียงใด ที่น่าสนใจคือ การแสดงมะโย่งถูกโจมตีว่าขัดแย้งกับศาสนาอิสลามในประเด็นต่อไปนี้
๑.๑ การใช้คาถาในพิธีกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามแต่ไปเกี่ยวข้องกับผี วิญญาณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นความเชื่อดั้งเดิมและผสมผสานกับความเชื่อในลัทธิฮินดู และสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ดังที่ปรากฏในคาถา
เบิกโรงความดังนี้
เฮอาตูตาเนาะ ยือมาแลตาเนาะ แมแนอากูนิง อยาแงปูเนาะ
อาแวติงงี รายอดีกาปง อยาแงออเสาะอากูนิง
มานอตะปะคราหมะ ฮูลู อิเล ยาตก ตะนาเงะ อยาแงละแคนะ
กาลูอาดอสาปอ แคนะ มิเตาะตูรน
ความหมาย คือ พระภูมิผู้เป็นเจ้าพสุธา เทพยดาผู้เป็นใหญ่ในห้วงเวหาอากาศ พระราชาธิราชเหนือหมู่บ้าน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในจตุรทิศการละเล่นค่ำคืนนี้ ขอได้โปรดช่วยอภิบาล บันดาลให้บรรลุความสำเร็จอย่ามีอุปสรรคมาขัดขวาง (๑๑) ผู้เขียนขออนุญาตแปลความหมายของคาถาบทนี้ใหม่ในมุมมองของคนมลายูว่าดังนี้
เจ้าผีพสุธาทั้งที่มีนามว่าฮาตูตาน็อฮและฌือมาแลตาน็อฮการละเล่นของข้านี้อย่าให้เสียหายได้ อาแวติงงี
ผีใหญ่ในหมู่บ้านนี้ อย่าได้สร้างความเสียหายให้กับการละเล่นของข้า ที่ใดที่เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่อยู่ทางทิศเหนือ
ทิศใต้ ทิศตะวันตก และทิศตะวันออก ขอจงอย่าได้ทำลายหากมีผู้ใดคิดทำลายขอให้ล้มเลิกความตั้งใจไป
หากพิจารณาจากความหมายและน้ำเสียงของคาถาบทนี้แล้วมิได้เป็นการวิงวอนขอความคุ้มครอง แต่เป็นการบอกกล่าวห้ามปรามไม่ให้ผีทั้งหลายที่มีแผ่นดินเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยอย่างมารบกวนหรือก่อกวนสร้างความเสียหาย
ให้กับการละเล่นมะโย่ง ซึ่งความเชื่อเรื่องผีนี้เป็นความเชื่อดั้งเดิมก่อนกำเนิดของศาสนาฮินดู และในปัจจุบันนี้ชนมลายูเชื่อว่าผีคือซาตานหรือไชตอนในศาสนาอิสลามนั่นเอง ซึ่งคอยเป็นปฏิปักษ์กับผู้ที่นับถือ
ศาสนาอิสลามอยู่เรื่อยมา (สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ. 2540, 107-110)
_____________________________
(๑๐) Sidi Gazalba “Agama dan Kebudayaan : Di Mana Letaknya Baris Pemisahan in” Dewan Budaya 11 (November 1982) p. 52-53
(๑๑) อนันต์ วัฒนานิกร แลหลังเมืองตานี (กรุงเทพฯ : ศิริวัฒนาการพิมพ์, ๒๕๒๘), หน้า ๗๑.
|