โนราโรงครูวัดท่าแค ที่มา : ใต้...หรอย มีลุย. 2547,40

ความเป็นมา
                โนราโรงครูคงมีมาพร้อมกับการกำเนิดโนรา  ซึ่งบางท่านสันนิษฐานว่าเกิดครั้งยุคศรีวิชัย  ในตำนานโนราในเขตพัทลุงกล่าวถึงการรำโนราโรงครูว่า  เมื่อนางนวลทองสำลีถูกเนรเทศไปติดอยู่เกาะกะชัง  (เชื่อกันว่าเป็นส่วนหนึ่งของเกาะใหญ่ในทะเลสาบสงขลา)  นางได้อาศัยอยู่กับตาพราหมณ์  ยายจันทร์  ครั้นพระยาสายฟ้าฟาดผู้เป็นพระบิดาให้รับนางคืนกลับเมือง  นางได้รำโนราถวายเทวดาและตายายทั้งสอง  เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อตายายที่ได้ช่วยเหลือ  การรำโนราถวายเทวดาและบูชาตายายของนางนวลทองสำลีครั้งนั้นถือว่าเป็นการรำโนราโรงครูครั้งแรก  แต่ทาง  จ.สงขลา  โนราวัด  จันทร์เรือง  ต.พังยาง  อ.ระโนด  เล่าว่า  การรำโนราโรงครูครั้งแรกเป็นการรำของอจิตกุมาร  ซึ่งเป็นบุตรนางนวลทองสำลี  ตอนเข้าเฝ้าพระยาสายฟ้าฟาด  ในพิธีได้พระพี่เลี้ยงที่ขจัดพลัดพรายกันตอนถูกนางนวลทองสำลีถูกเนรเทศลอยแพ  เมื่อพระพี่เลี้ยงกลับมาแล้วก็รำถวาย  โดยตั้งพิธีโรงครู  มีเครื่องสิบสองและของกินต่าง ๆ จัดพิธี 3 วัน 3 คืน  ครั้งนี้พระยาสายฟ้าฟาดได้ประทานเครื่องต้นให้เป็นเครื่องแต่งตัวโนรา  เปลี่ยนชื่อนางนวลทองสำลีเป็นศรีมาลา  และเปลี่ยนชื่ออจิตกุมารเป็นเทพสิงสอน (สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. 2537,156-157)

                      
 

   เมื่อถึงคราวที่ศิลปินโนราจะต้องบูชาครูหมอ  โดยการทำพิธี  “ลงครู”  หรือ  “รำโนราโรงครู”  พิธีกรรมนี้จะต้องเชิญครูหมอมารับเครื่องเซ่นไหว้ในโรงพิธี  (ที่เรียกกันว่าโรงครู)  โดยการตั้งเครื่องบูชา  และจัดคนทรงให้ถูกถ้วนตามธรรมเนียมนิยม  ครูหมอบางท่านก็เข้าทรงในร่างคนทรงโดยง่าย  แถมบางท่านก็มาเข้าทรงก่อนกำหนดทำเอาเจ้าภาพวิ่งกันโกลาหล  แต่คูรหมอบางท่านกลับตรงกันข้าม  เพราะแม้จะได้ทำพิธีเชิญนานสักเท่าไดก็ไม่ยอมรับคำเชิญ  จนเจ้าภาพอ่อนใจ  คนทรงอ่อนแรงแทบจะเทสำรับเครื่องเซ่นพลีทิ้งเสียแล้ว  ครูหมอจึงยอมมาลง
                ครูหมอโนราห์จะศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่ดูจะเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่  คนอยู่นอกวงการค่อนข้างจะไม่ค่อยเชื่อ  เห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหล  หรือแสร้งทำกันเสียมากกว่า  แต่สำหรับคนในวงการโนรา หรือเชื้อสายโนราแล้วจะมีความเชื่อถือกันมาก  ชาวปักษ์ใต้ที่เป็นเทือกเถาเหล่ากอของศิลปินโนรายังฝังแน่นในเรื่องนี้  ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด  ที่เรามักจะเห็นชาวปักษ์ใต้รุ่นเก่า  หรือชาวชนบทปักษ์ใต้เล่น  หรือรับโนรามาเล่นแก้บนอยู่บ่อย ๆ (ฉัตรชัย  ศุกระกาญจน์.  2523, 184 – 185) 

        
          

   โนราโรงครูมี  2  ชนิด  คือ  โนราโรงครูใหญ่  และโนราโรงครูเล็ก  โนราโรงครูใหญ่เป็นพิธีที่จัดเต็มรูปปรกติจัด  3  วัน  เริ่มตั้งแต่วันพุธไปสิ้นสุดในวันศุกร์  และจะต้องจัดตามวาระ  เช่นทุกปี  ทุกสามปี  ทุกห้าปี  แล้วแต่จะกำหนด  การำเช่นนี้จำเป็นต้องใช้เวลาเตรียมการนาน  ใช้ทุนทรัพย์ค่อนข้างสูง  ตั้งแต่การปลูกสร้างโรง  การติดต่อคณะโนรา  การเตรียมเครื่องเซ่นไหว้  และการเตรียมอาหารเพื่อจัดเลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน  เป็นต้น  ส่วนโนราโรงครูเล็ก  หมายถึงการำโรงครูอย่างย่นย่อ  ใช้เวลารำเพียง 1 คืน  กับ  1  วันเท่านั้น  ปกติจะเข้าโรงครูในตอนเย็นของวันพุธไปสิ้นสุดในวันพฤหัสบดี  การรำโนราโรงครูเล็กมีจุดมุ่งหมายเช่นเดียวกับการรำโนราโรงครูใหญ่  แต่ไม่อาจทำพิธีให้ใหญ่โตเท่ากับการรำโนราโรงครูใหญ่ได้  เพราะมีปัญหาเรื่องเวลา  ความไม่พร้อมในด้านอื่น ๆ  ดังนั้น เมื่อถึงวาระที่ต้องทำการบูชาครูหมอโนราหรือตายายโนราตามที่ได้ตกลงไว้  เช่นถึงวาระสามปี  ห้าปี  จึงได้ทำพิธีอย่างย่นย่อเสียก่อนสักครั้งหนึ่ง  เพื่อมิให้ผิดสัญญาต่อครูหมดโนรา  การทำพิธีอย่างย่นย่อเช่นนี้เรียกว่า  “การรำโรงครูเล็ก”  หรือ  “การค้ำครู”  หรือ  “โรงแก้บนค้ำครู”  แต่พิธีกรรมบางอย่างที่ถือว่าสำคัญ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการครอบเทริดหรือผูกผ้าใหญ่จะจัดในพิธีโรงครูใหญ่เท่านั้น
                ในการจัดพิธีทั้งโรงครูใหญ่และโรงครูเล็กมีองค์ประกอบในการรำที่สำคัญเช่นเดียวกัน  ที่พิเศษออกไปได้แก่โนราใหญ่  หรือนายโรงโนราซึ่งเป็นผู้นำในการประกอบพิธีต้องผ่านพิธีครอบเทริดมาแล้ว  และรอบรู้ในพิธีกรรมอย่างดีระยะเวลาที่จัดพิธี  นิยมทำกันในฤดูแล้ง  ในแถบจังหวัดตรังมักทำในราวเดือนยี่ถึงเดือนสาม  แถบจังหวัดพัทลุง  นครศรีธรรมราช  และสงขลา  มักทำในเดือนหกถึงเดือนเก้า  โดยไม่จำกัดวันขึ้นวันแรม  และจะเริ่มพิธีหรือเข้าโรงครูวันแรกในวันพุธ  ไปสิ้นสุดพิธีในวันศุกร์  แต่ถ้าวันศุกร์เป็นวันพระ  โนราบางคณะจะส่งครูวันเสาร์เป็นวันสุดท้าย โรงพิธี  สร้างแบบดั้งเดิม  ขนาด  9 x 11  ศอก มี 6 เสา  ไม่ยกพื้น  โดยแบ่งออกเป็น  3  ตอน  เสาตอนหน้าและตอนหลังมีตอนละ 3 เสา  ส่วนตอนกลางมี  2  เสา  ไม่มีเสากลาง  หน้าโรงหันไปทางทิศเหนือหรือใต้  เรียกว่า  “ลอยหวัน”  (ลอยตามตะวัน)  ไม่หันหน้าไปทางทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตก  เพราะเป็นการ  “ขวางหวัน”  (ขวางตะวัน)  ตามความเชื่อของโนราว่าเป็นอัปมงคล  หลังคาทำเป็นรูปหน้าจั่ว  มุงจาก  ตรงกลางจั่วครอบด้วยกระแชง  ถ้าไม่มีกระแชงก็ใช้ใบเตยแทน  การที่ต้องครอบกระแชงบนหลังคาจั่วนัยว่าเพื่อระลึกถึงนางนวลทองสำลีตอนถูกลอยแพไปในทะเลก็ได้อาศัยกระแชงเป็นเครื่องมุงแพ  ชาวบ้านบางแห่งยังเชื่อว่าโรงพิธีจะมีผีนางโอกะแชงรักษาเสาโรงทั้ง 6 ต้น และรักษากระแชงมุงหลังคาโรงทั้งด้านซ้ายขวาเรียกว่า  “นางโอกะแชงสองตอน”  ด้านหลังของโรงพิธีทำเป็นเพิงพักของคณะโนรา  ด้านขวาหรือด้านซ้ายของโรงทำเป็นศาลสูงระดับสายตาสำหรับเป็นที่วางเครื่องบูชา เรียกว่า  “ศาล”  หรือ  “พาไล”  พื้นโรงปูด้วย  “สาดคล้ำ”  (เสื่อสานด้วยคล้า)  แล้วปูทับด้วยเสื่อกระจูด  วางหมอนปูผ้าขาวทับ  เรียกว่า  “สาดหมอน”  บนหมอนวางไม้แตระและไม้กระดาน  หรือเทียนติดเชิง  เรียกว่า  “เทียนครู” หรือ  “เทียนกาศครู”  โรงพิธีอาจจะตกแต่งด้วยผ้า  กระดาษสี  ธงชายและสิ่งของอื่น ๆ อีกก็ได้

 
PREVIOUS