|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
“ข้าวยำปักษ์ใต้” หรือ
“ข้าวยำน้ำบูดู” เมนูเด็ดที่ว่านี้
มาพร้อมกับคุณค่าทางโภชนาการ
อย่างครบถ้วน รสชาติที่มีเอกลักษณ์
และส่วนผสมที่หลากหลายด้วยสมุนไพรต่าง ๆ
มาถึงภาคใต้แล้วห้ามพลาดลิ้มลอง
ต้นตำรับอาหารปักษ์ใต้ |
|
|
ที่มา : ฐิติมา สิงห์แก้ว. 2557,59 |
|
|
|
ข้าวยำอาหารผสานโภชนาการ
เมื่อได้น้ำบูดูกันแล้วเราก็จะดูส่วนประกอบอื่น ๆ ที่สำคัญไม่น้อยกว่ากัน
ซึ่งอาจจะแตกต่างกันไปบ้างตามสูตรตามความชอบ แต่โดยรวมก็จะมีรูปแบบ
หน้าตาไม่ต่างกันนักขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ใช้ประกอบการทำข้าวยำนั่นเอง โดย
วิธีการทำข้าวยำนั้นก็ไม่ยาก เริ่มจากการเตรียมวัตถุดิบต่าง ๆ ก่อน เช่น
กุ้งแห้งโขลกละเอียด (หรือใครชอบรับประทานแบบกุ้งฝอยก็ไม่ว่ากัน)
พริกป่น ถั่วฝักยาวหันชิ้นเล็ก ตะไคร้ใบมะกรูดใบชะพลู ใบยอ ใบขมิ้น
ใบบัวบก ดอกดาหลา ถั่วงอก มะนาว ส้มโอ มะม่วงเปรี้ยว เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีผักท้องถิ่นทางภาคใต้อย่าง “ใบกระพังโหมและใบหมุย”
ที่มีเฉพาะทางภาคใต้เท่านั้น และที่ขาดไม่ได้คือน้ำบูดูและข้าวสวยที่หุง
จนขึ้นหม้อ เท่านี้ก็พร้อมสำหรับทำข้าวยำกันแล้ว |
|
|
ก่อนอื่นเรามาเริ่มปรุงน้ำบูดูกันก่อน โดยนำน้ำบูดูกับน้ำสะอาด
(หรือจะใช้น้ำบูดูล้วน ๆ ก็ได้สำหรับผู้ที่ชอบความเข้มข้น) และตะไคร้
ข่า หอมแดง และน้ำมะขามเปียกนำมาใส่หม้อตั้งไฟ เคี่ยวจนได้ที่กระทั่ง
น้ำบูดูลดลงกว่าครึ่งและข้ากับเครื่องปรุงต่าง ๆ ซึ่งก็แล้วแต่ว่าต้องการให้
น้ำบูดูเข้มข้นมากน้อยเพียงใด จากนั้นลดไฟอ่อน ๆ เคี่ยวสักพักทิ้งให้เย็น
แล้วกรองเอากากออกเหลือแต่น้ำบูดูล้วน ๆ
มื่อได้น้ำบูดูเข้มข้นที่มีกลิ่นหอมสมุนไพรแล้วก็นำน้ำบูดูใส่น้ำตาลปี๊บ
(อาจเคี่ยวน้ำตาลพร้อมกับสมุนไพรตั้งแต่ต้นก็ได้) น้ำตาลทราย และ
ใบมะกรูด นำลงไปเคี่ยวกับไฟอ่อน ๆ จนได้ที่ จะได้รสเค็ม ๆ หวาน ๆ
หอมกลิ่นสมุนไพรจากนั้นตักข้าวสวยใส่จานโรยด้วยผักสมุนไพรต่าง ๆ
เช่น สะตอ และผักที่หั่นไว้หรือเครื่องเคียงอื่น ๆ อย่าง ตะไคร้ มะม่วง
สัมโอ ถั่วฝักยาว แตงกวา มะพร้าวคั่ว ปลาป่น ถั่วงอก พริกป่น
และใบมะกรูด และที่สำคัญคือ ราดด้วยน้ำยำบูดูนั่นเอง นอกจากนั้น
ยังสามารถบีบมะนาวนิดหน่อย หรือถ้าคุณใส่ส้มโอกับมะม่วงเปรี้ยว
อยู่แล้วก็ไม่ต้องเพิ่มมะนาวก็ได้เสร็จแล้วเวลาจะรับประทานให้
คลุกเคล้าส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน ซึ่งถือเป็นกระบวนการ
“ยำ” นั่นเอง เท่านี้เราก็ได้ข้าวยำแสนอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์
ของชาวปักษ์ใต้แล้ว |
|
|
|
|
ที่มา : ฐิติมา สิงห์แก้ว. 2557,60 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|