สาเหตุที่พระองค์ทรงลาออกจากราชการทหารเรือวิเคราะห์ได้ว่าคงเนื่องมาจากเหตุผลสำคัญ  ๔ ประการ  ดังนี้
          ประการแรก  พระองค์ทรงต้องการอยู่เรือบังคับการเรือตอร์ปิโด  และออกทะเลแต่กระทรวงทหารเรือเห็นว่าไม่สมควร
ที่สมเด็จเจ้าฟ้าจะทรงทำเช่นนั้น  จึงได้จัดให้พระองค์ไปรับราชการในตำแหน่งสำรองราชการ  กรมเสนาธิการทหารเรือ 
และต่อมาย้ายไปประจำกองอาจารย์นายเรือ  กรมยุทธศึกษาทหารเรือ  อาจทำให้พระองค์เกิดความเบื่อหน่าย
          ประการที่สอง  พระองค์เห็นว่าความสำคัญและความจำเป็นในการใช้เรือขนาดเล็กความเร็วสูงประเภทเรือตอร์ปิโด
สำหรับใช้เป็นเรื่อเร็วโจมตี  และเรือดำน้ำสำหรับใช้เป็นอาวุธป้อมปรามเพื่อใช้ป้องกันประเทศตามแผนการปรับปรุงกำลังทางเรือ 
แต่นายทหารชั้นผู้ใหญ่ส่วนมากเล่าเรียนมาจากอังกฤษ  ต้องการมีเรือใหญ่  อาจเกิดปัญหาขัดแย้งและไม่ได้รับความเห็นชอบ
จากนายทหารส่วนมากในที่ประชุม  จึงเชื่อว่าพระองค์คงไม่สามารถสร้างความเจริญให้แก่ทหารเรือของชาติได้อย่างเต็มที่
          ประการที่สาม  การที่บันทึกรายงานความเห็นเรื่องเรือ  “ส” (หมายถึงเรือดำน้ำ ย่อมาจาก Submarine) ของพระองค
์ถูกแช่เย็นอยู่ในตู้นิรภัยโดยไม่ได้รับการพิจารณา  อาจทำให้พระองค์ท้อพระทัยที่จะรับราชการทหารเรือต่อไปก็เป็นได้
          ประการที่สี่  ขณะที่ทำรายงานความเห็นเรื่องเรือ  “ส”  พระองค์มักจะทรงไปสอบถามนายแพทย์ใหญ่  ที่ศิริราชพยาบาล
  บริเวณวังหลัง  เกี่ยวกับการถนอมอาหารที่จะเก็บไว้ให้ได้นานกับเรือดำน้ำ  ในระหว่างนี้เอง  พระองค์ได้ทรงพบเห็นคนเจ็บป่วย
ที่มารักษาอยู่ในสภาพน่าสงสารเป็นจำนวนมาก  พระองค์อาจเกิดความคิดว่าจะทรงสามารถทำประโยชน์ทางด้านกิจการแพทย์
ได้มากกว่ากิจการทหารเรือ
          หลังจากทรงลาออกจากทหารเรือแล้ว  พระองค์ได้ทรงเสด็จไปศึกษาวิชาการสาธารณสุขและวิชาแพทย์จนได้รับปริญญา
แพทยศาสตร์บัณฑิตเกียรตินิยม  จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด  ประเทศสหรัฐอเมริกา  และเสด็จกลับมาสร้างความเจริญ
และทรงวางรากฐานการแพทย์และสาธารณสุขเป็นเหตุให้วิทยาการแพทย์และสาธารณสุข
แผนปัจจุบันหยั่งรากลึกลงในสังคมไทยด้วยเหตุนี้พสกนิกรจึงพร้อมใจกันถวายพระสมัญญาว่า  “พระบิดาแห่งการแพทย์ไทย”

สิ้นพระชนม์
วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๔๗๒ รวมพระชนมายุ ๓๗ พรรษา ๘ เดือน ๒๓ วัน
        ๒๑ ปี หลังจากที่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกได้เสด็จสวรรคต คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล บรรดาศิษย์เก่าศิริราช ผู้ที่ได้รับทุนของพระองค์ไปศึกษา ณ ต่างประเทศ ผู้ที่เคยได้รับพระมหากรุณาในประการอื่นๆ ตลอดจนประชาชนผู้สนใจทั่วไปได้ร่วมใจกันสร้างพระราชานุสาวรีย์ประดิษฐานไว้ ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อเป็นการร่วมกันน้อมสำนึกพระเมตตาคุณพระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย  โดยมอบให้กรมศิลปากรเป็นผู้ดำเนินการสร้าง และมีศาสตราจารย์ศิลป พีรศรี เป็นผู้ควบคุมงาน

โกศพระศพ ประดิษฐาน ณ ท้องพระโรง วังสวนกุหลาบ

         การพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จฯพระบรมราชชนก ณ เมรุท้องสนามหลวง พ.ศ. 2472

 

 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินในพิธีเปิดพระราชนุสาวรีย์เมื่อวันที๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ พระราชานุสาวรีย์นี้ได้รับการตกแต่งเพิ่มเติมครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๑๗ และอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ซึ่งเป็นการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่โดยสร้างรากฐานและบริเวณโดยรอบทั้งหมดเพื่อให้ถาวร สง่างามและสมพระเกียรติยิ่งขึ้น ดังที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้

 
<<< Previous >>> Next