|
|
|
|
หากแต่ในด้านสถาปัตยกรรมประเภทศาสนาคารคติความเชื่อที่ปรากฏอยู่
ในรูปทรงและองค์ประกอบมักถูกเชื่อมโยงกับคติฮินดูและระบบจักรวาลแบบฮินดู
ดั่งกรณีการอธิบายความ ช่อฟ้าที่ใช้เป็นรูปหัวพญานาคส่วนสันมุมหลังคา
ทำเป็นรูปสันหลังของพญานาคกำลังเลื้อยลงมาเป็นชั้น ๆ จนถึงชายหลังคา
ชั้นล่างสุด แล้วจึงมีทวยไม้สลักเป็นนาคค้ำยันไว้ สัญลักษณ์ที่เรียงกันลงมาเช่นนี้
เปรียบเสมือนสายน้ำที่กำลังไหลจากภูเขาที่เป็นจดศูนย์กลางสู่เบื้องล่าง
จนกระทั่งถึงฐานโบสถ์...หรืออีกนัยยะหนึ่งคือ มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล
อันเป็นที่รวมของน้ำทั้งหมด (สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา, ๒๕๒๘+๒๓) |
ที่มา : ติ๊ก แสนบุญ. 2550,34 |
|
สรุปแล้ว ความหมายที่แท้จริงของช่อฟ้าควรเป้นพญานาค เพราะเป็นความหมายที่โยงกลับ
ไปถึงเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในระบบจักรวาล กล่าวคือการกวนเกษัยรสมุทรโดยพระวิษณุ
หรือการต่อสู้ระหว่างพระอินทร์กับพญานาคบนเขาพระสุเมรุ ซึ่งทำให้นาคต้องพ่ายแพ้
และต้องปล่อยให้น้ำไหลหลากลงมาหล่อเลี้ยงชีวิตบนโลก (สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา,
๒๕๒๘:๑๕๗) หากพิเคราะห์ในเชิงโครงสร้างหน้าที่นิยม จะพบได้ว่าลักษณะรูปสัณฐาน
ของพญานาคที่มีพัฒนาการมาจากงูนั้นมีคุณลักษณะพิเศษที่สัมพันธ์ลงตัวเหมาะสม
ในการสร้างสรรค์จินตนาการในเชิงช่างที่หลากหลายรูปแบบนับตั้งแต่ส่วนหัวจนถึง
ส่วนหาง ที่สามารถเติมเต็มสัญญะความหมายทางสังคมวัฒนธรรมผ่านงานช่างทาง
ความเชื่อไม่ว่าจะเป็นศาสนาคาร หรืองานพุทธหัตถศิลป์ |
|
ที่มา : ติ๊ก แสนบุญ. 2550,35 |
นอกจากนี้รูปสัณฐานของงูหรือนาค ยังสอดรับกับรูปสัญลักษณ์ของเรือและรูปสัณฐาน
ของโลกศพ ที่เชื่อมโยงกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ดบราณคดีที่อธิบายว่า เรือศักดิ์สิทธิ์
มีหลักฐานอยู่ที่ลายเส้นสลักบนกลองทอง (สัมฤทธิ์) หรือ มโหระทึก เมื่อไม่น้อยกว่า
๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว พบที่ประเทศไทย เวียดนาม จีน ที่มณฑลกวางสี และที่อื่น ๆ
ในสุวรรณภูมิบริเวณอุษาคเนย์แสดงว่าชุมชนและบ้านเมืองยุคดึกดำบรรพ์ในภูมิภาคนี้
ล้วนมีเรือศักดิ์สิทธิ์ที่เติบโตเป็นเรือพระราชพิธีเหมือนกันทุกแห่งไม่ใช่มีเฉพาะในประเทศไทย
เท่านั้นเรือมีรูปร่างจากงู ที่ตอมาเรียกนาค (ตามคำละตินและบาลี) หัวเรือมีรูปเป็นงูหรือนาค
ส่วนหางเรือเรียวยาวไปเป็นงูหรือนาคนั้นเองและจากความเชื่อที่ว่างูเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
หรือบรรพบุรุษ ที่สถิตอยู่บาดาลคือใต้ดิน ดังนั้นเมื่อเมื่อคนตายลง ต้องกลับไปหา
บรรพบุรุษในถิ่นเดิม คือโลกบาดาลหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทำโลงศพด้วยไม้เป็นรูปงู
หรือนาคแล้วเรียกภายหลังว่าเรือ (สุจิตต์ วงษ์เทศและคณะ, ๒๕๕๐:๑๐-๑๑)
โดยรูปแบบดังกล่าวยังปรากกอยู่ในกลุ่มชนพื้นเมือง ทั้งกลุ่ม ขมุหรือ กำมุที่ต่อมา
เรียกกันว่าลาวเทิงในสปปลาว, หรือกระตูในเวียดนาม ที่นิยมจำหลักลวดลายโลงศพ
เป็น งูหรือพยานาค |
|
|
|