เมืองเก่าสงขลาบนเส้นทางสายอนุรักษ์และพัฒนาสู่จุดหมาย “เมืองมรดกโลก” |
|
กำแพงเมืองเก่าซึ่งอยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา |
“...ขณะนี้ทางเมืองสงขลาได้เตรียมผลักตันเมืองเก่าสงขลาก้าวขึ้นสู่การเป็นมรดกโลก กำลังจัดทำแผนผังในการใช้พื้นที่ของเมืองเก่า เริ่มจากการปรับภูมิทัศน์ด้วยการเก็บสายไฟฟ้าลงไปไว้ใต้ดิน ไม่ให้รกรุงรัง รวมทั้งซื้อโรงแรมเก่าแก่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ คาดว่าคงใช้เวลาอีกระยะ ซึ่งงานใหญ่แบบนี้ ึี้คงจะในภาครัฐทำแต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ ชุมชนเองคงจะต้องมีความพร้อมและเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย ช่วยกันคนละไม้ละเมือ...” |
|
ป้อมปืน เมืองสงขลาโบราณฝั่งหัวเขาแดง |
ความหมายของมรดกโลก (World Heritage) นั้นก็คือ “สถานที่” อันได้แก่ ป่าไม้ ภูเขา ทะเลสาบ ทะเลทราย
อนุสาวรีย์ สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ รวมไปถึง “เมือง” ซึ่งได้รับการคัดเลือกโดยองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม
แห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก(UNESCO) ประกาศยกย่องให้มีฐานะพิเศษเพื่อเป็นการบ่งบอกถึงคุณค่าของสิ่งที่ธรรมชาติ และมนุษยชาติได้สร้างขึ้นมา อันสมควรได้รับการชื่นชม ดูแลรักษาและอนุรักษ์เอาไว้ เพื่อให้ตกทอดไปถึงอนาคต เป็นสมบัติร่วมกันของคนทั้งโลก ซึ่งองค์การยูเนสโกจัดให้มีขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๕
จากการที่นักวิชาการในหลากหลายสาขาได้เข้ามาทำการศึกษาวิจัยในพื้นที่กันเป็นเวลาพอสมควร เมืองสงขลาเองก็ถือว่าเพียบพร้อมด้วยศักยภาพอันเหมาะสมในหลายด้านที่จะได้รับการคัดเลือกเสนอชื่อให้กับคณะกรรมการ
มรดกโลกพิจารณา ในส่วนของทรัพยากรธรรมชาติ เมืองสงขลามีทะเลสาบสงขลา
ซึ่งเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในด้านการเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ โดยเฉพาะทิวทัศน์ยามพระอาทิตย์ขึ้นและตก ถือว่างดงามตระการตาไม่เป็นสองรองใคร และเมื่อพิจารณาในฐานะแหล่งธรรมชาติ ทะเลสาบสงขลายังมีลักษณะเฉพาะตัว ทั้งในแง่ของความเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งลักษณะทางธรณีวิทยาเป็นแบบลากูน คือเป็นทะเลสาบริมฝั่งทะเลที่เกิดขึ้นจากการปิดกั้นของสันทรายขนาดใหญ่ที่สั่งสมมาเป็นระยะเวลาอันยาวนานกว่า ๕,000 ปี เป็นผลให้บริเวณปากทะเลสาบมีน้ำเค็ม ในขณะที่ตอนกลางของทะเลสาบมีน้ำกร่อย และตอนในสุดของทะเลสาบเป็นน้ำจืดเกิดเป็นระบบนิเวศที่แตกต่างกัน ๓ แบบ ส่งผลให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้
ในส่วนของทรัพยากรที่มนุษย์สร้างขึ้น ก็คือความเป็นชุมชนของเมืองสงขลาที่สืบเนื่องกันมา สมัยโบราณ
จนถึงสมัยอยุธยา บริเวณนี้ยังไม่เป็นทะเลสาบ แต่เป็นเกาะใหญ่ ด้วยสภาพภูมิประเทศอันเป็นเวิ้งน้ำปลอดจากคลื่นลมเนื่อง ทำให้กลายเป็นแหล่งที่จอดหลบมรสุมของเรือที่สัญจรไปมาในทะเลมาตั้งแต่สมัยโบราณจนเกิดเป็นชุมชนต่อเนื่องกันหลายยุค
หลายสมัย ร่องรอยชุมชนและสระน้ำปรากฏให้เห็นตามแนวสันทราย ประมาณอายุได้อย่างน้อยก็พุทธศตวรรษที่ ๑๓ มีโบราณสถานอันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่รู้จักกันดีก็คือ ถ้ำคูหา ศาสนสถานฮินดูในถ้ำขนาดใหญ่ วัดเขาพะโคะ
และวัดจะทิ้งพระ
ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ถึงได้มีสร้างเมืองชิงโกรา หรือเมืองสงขลาขึ้นบริเวณหัวเขาแดง โดยพัฒนาขึ้นมาจากสถานที่ที่เคยเป็นสถานีพักสินค้าและที่จอดเรือของพ่อค้า ช่วงแรกเมืองนี้ปกครองโดยชาวมุสลิม ได้รับการสนับสนุนจากพ่อค้าชาวยุโรปสร้างกำแพงเมืองและป้อมปืนเอาไว้อย่างแข็งแรงแน่นหนา ต่อมาประกาศตั้งตัว
เป็นอิสระ จึงถูกกองทัพจากกรุงศรีอยุธยาตีแตกและเผาทำลาย พ่อค้าชาวจีมาฟื้นฟูเมืองขึ้นใหม่อีกครั้งในช่วงหลัง ก่อนจะย้ายเมืองมาอยู่ฝั่งแหลมสน และย้ายมาฝั่งบ่อยางอันเป็นที่ตั้งเมืองสงขลาในปัจจุบัน ปล่อยให้
้เมืองสงขลาโบราณบนหัวเขาแดง อันได้แก่ป้อมปืน ๑๔ ป้อม กำแพงเมือง รวมทั้งสุสานชาวมุสลิมและดัตซ์ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ให้ผู้สนใจไปเยี่ยมชมเรียนรู้ถึงความเป็นมา |
|
|
|
|
|