พระราชนิพนธ์
เรื่อง “เมื่อข้าพเจ้าจากสยามสู่สวิสเซอร์แลนด์”

พระราชนิพนธ์เรื่องนี้ทรงพระราชนิพนธ์พระราชทาน
หนังสือ  “วงวรรณคดี”  เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.
๒๔๙๐ เป็นรูปแบบบันทึกประจำวัน  ตั้งแต่เสด็จจากประเทศไทย
เพื่อไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์  เริ่มแต่วันที่ ๑๖
สิงหาคม ๒๔๘๙ ก่อนเสด็จออกเดินทาง ๓ วัน จนถึงวันที่ ๒๒
สิงหาคม ๒๔๘๙ วันเสด็จถึงพระตำหนัก  “วิลลาวัฒนา” 
ได้ทรงพรรณนาความรู้สึกของพระองค์ตอนจากเมืองไทยถึงความรัก
และห่วงใยพสกนิกรของพระองค์ และยังได้ทรงบรรยายถึง
การเดินทางในสมัย ๔๐ กว่าปีมาแล้ว จบลงด้วยหน้าที่ที่จะต้อง
ทรงกระทำเพื่อบ้านเมืองต่อไป ยังความซาบซึ้งตรึงใจ
แก่ประชาชนคนไทยอย่างหาที่สุดมิได้

พระราชนิพนธ์ เรื่อง  เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิตเซอร์แลนด์โดยพระบรมราชานุญาติพิเศษเฉพาะ “วงวรรณคดี”

“วงวรรณคดี” ได้ขอร้องให้ข้าพเจ้าเขียนเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ถนัดมาลงในหนังสือนี้นานมาแล้ว อันที่จริงข้าพเจ้าก็ไม่ใช่นักประพันธ์ เมื่ออยู่โรงเรียนเรียงความและแต่งเรื่องก็ทำไม่ได้ดีนัก อย่างไรก็ดีข้าพเจ้าก็ปรารถนาที่จะสนองความต้องการของ  “วงวรรณคดี” อยู่บ้าง และเนื่องด้วยไม่สามารถที่จะเขียนเรื่องที่ข้าพเจ้ารู้บ้าง เช่น ดนตรี ศิลปะ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือกฎหมาย ฯลฯ ได้  เพราะไม่มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ดีพอ ฉะนั้นจึงตกลงใจส่งบันทึกประจำวันที่เขียนไว้ก่อน  และระหว่างวันเดินทางจากสยามสู่สวิตเซอร์แลนด์มาให้ และในโอกาสนี้จึงขอขอบใจเป็นการส่วนตัวต่อทุก ๆ คน ที่มาถวายความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชของข้าพเจ้า ณ พระมหาปราสาท ตลอดจนความปรารถนาดีที่มีต่อตัวข้าพเจ้าเอง กับขอขอบใจเหล่าทหารและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการด้วยความจงรักภัคดีต่อเราทั้งสองด้วย
วันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ อีกสามวันเท่านั้นเราก็จะต้องจากไปแล้ว ฉะนั้นจึงตั้งใจจะไปนมัสการพระพุทธชินสีห์ที่วัดบวรนิเวศน์วิหาร  รวมทั้งสมเด็จพระสังฆราชด้วย
เมื่อไปถึงวัดบวรนิเวศน์วิหารตอนบ่ายวันนี้  มีประชาชนผู้รู้ว่าข้าพเจ้าจะมามายืนรออยู่บ้าง แต่ไม่สู้มากนัก เข้าไปในพระอุโบสถจุดเทียนนมัสการ ฯลฯ ...แล้วได้มีโอกาสทูลปฏิสันถารกับสมเด็จพระสังฆราชทรงนำพระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์สูงให้มารู้จัก โดยปกติได้เคยเห็นหน้าท่านเหล่านี้มาจนชินแล้ว ทรงนำขึ้นไปนมัสการพระสถูปบนนั้นมีพระพุทธรูปสำคัญองค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ชื่อพระไพรีพินาศ  พระองค์นี้เคยทรงเล่าประวัติให้ฟังมาก่อนหน้านี้แล้วหลายวัน หลังจากนั้นก็นมัสการลา
ตอนนี้มีราษฎรชุมนุมกันหนาตาขึ้น ต่างก็ยัดเยียดเบียดเสียดกัน  จนรู้สึกเกรงไปว่ารถที่นั่งมาจะทับเอาใครเข้าบ้าง ช่างเคราะห์ดีแท้ ๆ  ที่ไม่มีอันตรายอันใดเกิดขึ้นแก่ประชาชนที่มานั้นเลย  ในหมู่ประชาชนที่มารอรับกันอยู่วันนี้  จำได้ว่ามีบางคนเคยเห็นที่พระมหาปราสาทเป็นประจำมิได้ขาด  ไม่รู้ว่าหาเวลามาจากไหนจึงไปที่พระมหาปราสาทได้เสมอเกือบทุกวันอังคาร พฤหัสบดี และวันอาทิตย์ พวกนี้ก็มาที่วัดนี้ด้วยเหมือนกัน
วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ เก็บของลงหีบและเตรียมตัว...
วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ เราจะต้องจากไปในวันพรุ่งนี้แล้ว อะไร ๆ ก็จัดเสร็จหมด หมายกำหนดการก็มีอยู่พร้อม... บ่ายวันนี้เราไปถวายบังคมลาพระบรมอัฐิของพระบรมราชบุพพการีของเรา ทั้งสมเด็จพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระบรมราชินีในรัชการก่อน ๆ  แล้วก็ไปถวายบังคมลาพระบรมศพเราต้องทูลลาให้เสร็จในวันนี้และไม่ใช่พรุ่งนี้ตามที่ได้กะไว้ตามเดิมเพื่อจะรีบไปไม่ให้ชักช้า เพราะพรุ่งนี้จะได้มีเวลาแล่นรถช้า ๆ  ให้ราษฎรเห็นหน้ากันโดยทั่วถึง

เมื่อออกจากพระที่นั่งไพศาลทักษิณมายังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ผู้คนอะไรช่างมากมายเช่นนั้น  เมื่อวานนี้เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาถามว่าจะอนุญาตให้ประชาชนเข้ามาหรือไม่ในขณะที่ไปถวายบังคมพระบรมศพ ตอบเขาว่า  “ให้เข้ามาซิ”  เพราะเหตุว่าวันอาทิตย์เป็นวันสำหรับประชาชน เป็นวันของเขาจะไปห้ามเสียกระไรได้  และยิ่งกว่านั้นยังเป็นวันสุดท้ายก่อนที่เราจะจากบ้านเมืองไปด้วย  ข้าพเจ้าก็อยากจะแลเห็นราษฎร เพราะกว่าจะได้กลับมาเห็นนี้ก็คงอีกนานมาก...วันนี้พวกทหารรักษาการณ์กันอย่างเต็มที่เพื่อกันทางไว้ให้รถแล่นได้สะดวก  ไม่เหมือนอย่างเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ที่มากันคนช้าเกินไป...
วันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙  วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว...พอถึงเวลาก็ลงจากพระที่นั่งพร้อมกับแม่  ลาพระแก้วมรกฎและพระภิกษุสงฆ์  ลาเจ้านายฝ่ายหน้า  ลาข้าราชการทั้งไทยและฝรั่ง แล้วก็ไปขึ้นรถยนต์  พอรถแล่นออกไปได้ไม่ถึง ๒๐๐ เมตร มีหญิงคนหนึ่งเข้ามาหยุดรถแล้วส่งกระป๋องให้เราคนละใบ ราชองครักษ์ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น บางทีจะเป็นลูกระเบิด เมื่อมาเปิดดูภายหลังปรากฏว่าเป็นทอฟฟี่ที่อร่อยมาก ตามถนนผู้คนช่างมากมายเสียจริง ๆ ที่ถนนราชดำเนินกลางราษฎรเข้ามาใกล้จนชิดรถที่เรานั่ง กลัวเหลือเกินว่าล้อรถของเราจะไปทับแข้งทับขาใครเข้าบ้าง รถแล่นผ่าฝูงคนไปได้อย่างช้าที่สุด ถึงวัดเบญจมบพิตร  รถแล่นเร็วขึ้นได้บ้าง ตามทางที่ผ่านมาได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดัง ๆ ว่า “อย่าละทิ้งประชาชน” อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า ถ้าประชาชนไม่ “ทิ้ง” ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะ “ละทิ้ง” อย่างไรได้  แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้ว
เมื่อมาถึงดอนเมือง  เห็นนิสิตมหาวิทยาลัยผู้จงใจมาเพื่อส่งเราให้ถึงที่  ได้รับของที่ระลึกเป็นรูปเครื่องหมายของมหาวิทยาลัย ๑๑.๕๕ นาฬิกา  แล้วมีเวลาเหลืออีกเล็กน้อยสำหรับเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวที่สโมสรนายทหาร  ต่อจากนั้นก็ไปขึ้นเครื่องบินเดินฝ่าฝูงคนซึ่งเฝ้าดูเราอยู่จนวาระสุดท้าย

เมื่อขึ้นมาอยู่บนเครื่องบินแล้วก็ยังมองเห็นราษฎร ได้ยินเสียงไชโยโห่ร้องอวยชัยให้พร แต่เมื่อคนประจำเครื่องบินเริ่มเดินเครื่องทีละเครื่อง ๆ  เสียงเครื่องยนต์ดังสนั่นหวั่นไหวกลบเสียงโห่ร้องก้องกังวาฬของประชาชนที่ดังอยู่หมด พอถึง ๑๒ นาฬิกา  เราก็ออกเดินทางมาบินวนอยู่เหนือพระนครสามรอบ ยังมองเห็นประชาชนแหงนดูเครื่องบินทั่วถนนทุกสายในพระนคร
บ่ายหน้าไปทางทิศตะวันตกมุ่งตรงไปยังเกาะลังกา (ซีลอน) เสียงเครื่องบินดังสนั่นหนวกหู หากผู้ใดอยากจะพูดก็จะต้องตะโกนออกมาให้สุดเสียง  ดังนั้นจึงไม่มีใครพูดเลยทางที่ดีที่สุดที่พึงทำคือหลับตาเสียแล้วนิ่งคิด...แปลกดีเหมือนกันที่ใจหวนไปคิดว่าเพียงชั่วโมงเดียวที่ผ่านมาเมื่อตะกี้นี้เอง เรายังห้อมล้อมไปด้วยประชาชนชาวไทย แต่เดี๋ยวนี้เล่าเรากำลังเหาะอยู่เหนือท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล  แม้จะมีเสียงเครื่องยนต์ ก็ดูเป็นเหมือนเงียบและนิ่งอยู่กับที่ เพราะทุก ๆ เสียงจากสิ่งที่มีชีวิตได้จางหายไปหมดแล้ว และกำลังชินกับเสียงครางกระหึ่มของเครื่องยนต์นั้น  หวนกลับไปนึกดูเมื่อ ๙ เดือนที่แล้วมา  เรากำลังบินไปในทิศตรงกันข้าม เพื่อจะเยี่ยมเยียนประเทศหนึ่ง  เยี่ยมอาณาประชาชนที่เราต้องพลัดพรากจากมาถึง ๗ ปีเต็ม ๆ  โดยที่เราเกือบไม่รู้เรื่อง  และข่าวคราวของบ้านเมืองและประชาชนของเราเลยแม้แต่น้อย...เดี๋ยวนี้เรากำลังบินจากประเทศนั้น  จากประชาชนพลเมืองเหล่านั้นไปแล้ว  การจากครั้งนี้มิได้เพียงแต่จากมาอย่างเดียวเท่านั้น ข้าพเจ้าได้จากเรื่องที่ล่วงแล้วมาด้วย... สจ๊วตเข้ามาขัดจังหวะเสียทำให้ความคิดที่กำลังเพลิดเพลินจางไปเสียจากสมอง  เขานำอาหารกลางวันที่มีรสกลมกล่อมเข้ามาให้  การเดินทางในรายต่อมาช่างเปล่าเปลี่ยวเสียจริง ๆ  สิ่งที่มองเห็นในเบื้องหน้าไม่มีอะไรเสียเลย  นอกจากท้องทะเลเขียวครามอันแสนลึกนาน ๆ จะแลเห็นเกาะบ้างเป็นครั้งคราว
เรามาถึงเมืองเนแกมโบ (Negambo) ใกล้ ๆ กับ โคลัมโบเมืองหลวงของเกาะลังกา ภายหลังจากที่ได้บินมาเป็นเวลานานถึง ๘ ชั่วโมง ๑๕ นาที เดี๋ยวนี้ ๑๘.๕๕ นาฬิกา ตามเวลาของเกาะลังกาแล้ว เมื่อเทียบกับเวลาที่กรุงเทพฯ ที่นี่ช้ากว่า ๑ ชั่วโมง กับ ๓๐ นาที พอดี
ข้าหลวงประจำเกาะลังกา คือ เซอร์ ยอห์น เฮาเวิรด (Sir John Howard) ได้เดินทางมาโคลัมโบเพื่อต้อนรับเรา ข้าพเจ้าขึ้นนั่งรถยนต์มีท่านข้าหลวงตามมาด้วย ส่วนแม่นั้นไปกับภรรยาของเขา ระยะทางจากสนามบินไปยังจวนข้าหลวงในเมืองโคลัมโบต้องนั่งรถไปราว ๓๐ นาที อันเป็นระยะเวลาที่กำลังสบายและมีโอกาสได้ชมภูมิประเทศตามถนน-ตามที่เห็นมาด้วยตาและตามคำบอกเล่าของ เซอร์ ยอห์น เฮาเวิรด รู้สึกว่าเกาะลังกานี้ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับเมืองไทยเราเสียจริง ๆ  เป็นเมืองที่อุดมดีแลดูก็งามตาม ประชาชนก็สุภาพและมีนิสัยดี เหตุที่ทำให้เหมือนมากนี้ ข้อสำคัญอยู่ที่นับถือศาสนาร่วมกันกับไทยเรา

 
PREVIOUS    NEXT