ที่มาของซำปอกง
                มีนิทานเล่ากันมาจากเมืองจีนว่า
                ในรัชสมัยพระจักรพรรดิเซ่งโจ้วฮ่องเต้  แห่งราชวงศ์เหม็งมีบุรุษผู้หนึ่งนามว่า  ฮั้ว  แซ่แต้  คนทั่วไปมักเรียกเขาว่า  ซำป้อ
                เขาได้รับราชการเป็นขันทีของพระจักรพรรดิเซ่งโจ้ว  ด้วยเหตุที่เขาเป็นคนโปรดของพระจักรพรรดิ  เพราะความซื่อสัตย์สุจริตมีความเที่ยงธรรมและเป็นขันทีที่มีชื่อเสียงทั้งภายในพระราชวังจนดังออกไปเลื่องลือกันภายนอกด้วย
                ชาวจีนเมื่อทราบข่าว  และเห็นว่าขันทีซำป้อเป็นคนดีมียศสูงฐานะใหญ่โต  จึงพากันสรรเสริญเยินยอและยกย่อง  โดยต่อคำว่า  “กง”  ท้ายชื่อของเขาจากชื่อเดิมว่า  ซำป้อ  กลายมาเป็น  ซำป้อกง

เขาเป็นวีรบุรุษ
                จักรพรรดิเซ่งโจ้วมีเดชานุภาพปราบได้แผ่นดินหลายหัวเมืองทางด้านทิศตะวันตกของแผ่นดินจีนโบราณและยังปรารถนา
ที่จะแผ่พระบรมเดชานุภาพต่อไปให้มากเท่าที่จะทำได้  ด้วยมีความมักใหญ่ใฝ่สูงไม่มีสิ้นสุด
                ต่อมาครั้งหนึ่ง  ได้รับสั่งให้ซำปอต่อเรือใหญ่จำนวนมากสามารถบรรทุกทหารได้เป็นจำนวนพัน ๆ  นาย 
แล้วสั่งให้ซำปอเป็นเสนาธิการคุมไปปราบหัวเมืองต่าง ๆ  ทางน้ำทางทะเล
                เล่ากันว่า  ทัพเรือของเขาได้แผ่แสนยานุภาพไปถึงจีนทางใต้ญวน  เขมร  ทะลุทะลวงไปจนถึงไทย 
(รัชสมัยพระราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา)  ตลอดจนพม่า  และลังการทวีป
                บรรดาบ้านเมืองทั้งหลาย  ที่กองทัพเรือไปถึง  ต่างเกรงบารมีจึงมีการจัดส่งเครื่องราชบรรณาการไป 
(จิ้มก้อง)  ถวายเป็นจำนวนมาก
                เมื่อจักรพรรดิเช่งโจ้วฮ่องเต้  ทรงเห็นการแผ่แสนยานุภาพครั้งแรก  ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม 
จึงทรงให้ซำปอจัดกองทัพเรือออกไปเป็นครั้งที่ 2  ในอีก  3  ปีต่อมา  (พ.ศ. 1947-1650)  อีก
                พอกองทัพเรือจีนไปถึงลังกาทวีป  ซึ่งกว่าจะมาถึง  ได้ผ่านเมืองต่าง ๆ  มาหลายแห่ง 
จึงได้ข้าวของเงินทองล้วนแต่มีค่าจำนวนที่อยู่บนเรือ
                พระเจ้ากรุงลังกาเมื่อได้เห็น  เกิดความโลภ  อยากจะยึดเอาเครื่องบรรณาการเหล่านั้นเสีย 
จึงเกิดสู้รบกันขึ้น  ไม่คิดว่าทหารจะมีความสามารถในเชิงการใช้อาวุธ  จึงจัดเรือลังกาเข้าปล้น
                แต่ด้วยความเก่งกล้าสามารถของซำป้อ  ผู้เป็นเสนาธิการและความเก่งกาจของทหารจีน 
กลับตีทหารลังกาพ่ายแพ้  และจับตัวเจ้าเมืองลังกาได้  แล้วนำตัวกลับไปยังเมืองจีนด้วย
                ด้วยความเป็นวีรบุรุษทางทะเลของเขา  ตลอดเวลาที่รับใช้จักรพรรดิเช่งโจ้ว  ชื่อเสียงของเมืองจีน
ระบือไปทั่ว  7  คาบสมุทร  พอเขาเสียชีวิตลง  ชาวจีนจึงทำการเซ่นไหว้วิญญาณของเขา  จากชื่อว่า  แต่ฮั้ว  มาเป็น 
ซำป้อ  แล้วกลายมาเป็น  ซำปอกง  ในที่สุด
                ทั้ง ๆ  ที่เขามิได้มาล้มหายตายลงที่วัดกัลยาณ์ในเมืองไทยแต่อย่างใด  เพียงแต่มีชาวจีนกลุ่มหนึ่ง

มาไหว้หลวงพ่อโตที่วิหารวัดนี้แล้วติดป้ายภาจีนว่า  “ซำปอฮุดกง”  อยู่หน้าวิหาร
                ปัจจุบันนี้ก็ยังมีชาวจีนและคนไทยเชื้อสายจีนพากันไปคารวะเซ่นไหว้  เมื่อถึงเทศกาลนี้  ปีละจำนวนมากมาย

เค้านิทานที่มาของการทิ้งกระจาด
                ชาวจีนที่นับถือพุทธศาสนา  ก็ไม่ต่างจากคนไทยที่เป็นชาวพุทธมากนัก  มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น
จากเมืองมาตุภูมิ  คือบนผืนแผ่นดินมาแต่ครั้งบรรพบุรษ
                พอจะสาธกยกนิทานชาดกทางพุทธศาสนา  มาประกอบเป็นเค้าโครงได้  ก็จะยกเอามาเล่าเป็น
นิทานสู่กันฟังเสมอ   แม้แต่เรื่องการทิ้งกระจาด  ที่จริงก็เป็นพิธีทำบุญให้ทานแก่ผู้คนที่ยากจน  หาเช้ากินค่ำ  มีความลำบากอดอยากกว่าตนเป็นการสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ร่วมโลก  ให้เขาอยู่ร่มเย็นเป็นสุขเปลื้องทุกข์คลายความอดอยากไปได้ปีหนึ่งคราวเดียว  ก็นับวาเป็นบุญเป็นกุศลหนักหนาแล้ว
                ก็แลด้วยบุญส่วนนี้แม้จะได้บุญแบบรูปธรรมคือผู้ให้ได้พบได้เห็นการทำบุญให้ทานด้วยตาตนเองแล้ว  ยังมีจุดหมายแบบนามธรรมอีกอย่างหนึ่ง
                นั่นคือการอุทิศส่วนกุศลผลทานนั้นไปให้วิญญาณฝีไม่มีญาติคือผีไร้ญาติขาดมิตรที่ไม่เคยมีใครกรวดน้ำ
คว่ำขันไปถึงเขาเลยอีกต่อหนึ่ง
                นับว่าเป็นการทำบุญให้ทานได้ผลานิสงส์  2  ชั้น

                                ทำบุญต่ออายุ
                ตามคตินิกายพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน  มีเรื่องกล่าวไว้ในพระสูตร  ความว่า  :-
                อดีตในสมัยพุทธกาล  พระพุทธสัมมาสัมพุทธเจ้า  เสด็จประทับอยู่  ณ  นิโครธาราม  (วัดที่พระประยูรญาติสร้างถวายพระพุทธองค์  อยู่ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์)  พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกห้อมล้อมเพื่อ
ฟังพระธรรมเทศนา
                กาลครั้งหนึ่งนั้น  พระอานนท์  พุทธอุปัฏฐาก  ได้นั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ในที่สงัดวิเวกแต่องค์เดียว
                ครั้นเวลาดึกสงัด  พระอานนท์ได้ทอดสายตาแลเห็นอสุรกาย  (พวกผีอบายผู้อดอยาก  เที่ยวโจรกรรมหากินในเวลากลางคืน)  ตนหนึ่งมีร่างกายซูบผอมเหี่ยวแห้ง  เนื้อติดโครงกระดูก  มีเปลวเพลิง
พุ่งออกมาจากปาก  ลำคอเท่ากับรูเข็ม  มีผมบนศีรษะรกรุงรัง  อีกทั้งมีเขี้ยวงอกออกมาจากปาก  สภาพน่าสะพรึงกลัว

                บอกข่าวร้ายแด่พระอานนท์
                อสุรกายตนนั้นปรากฏกายเข้ามา  นั่งประนมมือต่อหน้าพระอานนท์  ขณะที่ท่านกำลังเข้าสมาธิจิต  แล้วบอกท่านว่า
                “อีก  3  ราตรี  พระคุณเจ้าจักมรณภาพ  แล้วพระคุณเจ้าจะมีเรือนรน่างอย่างข้าพเจ้า...”
                พระอานนท์รู้สึกหวาดกลัวต่อความตายมาก  เพราะท่านขณะนั้นยังเป็นพระเสขะ  (ยังไม่บรรลุพระอรหันต์)  จึงได้ซักถามอสุรกายไปว่า
                “ดูก่อน  อสุรกาย  เพราะเหตุใดหรือ  อาตมาภาพจึงจะพ้นจากภัยเช่นว่ามานั้น”
                ฝ่ายอสุรกายจึงนมัสการกราบเรียนพระเถระว่า
                “พระคุณเจ้า  ถ้าอยากจะให้พันมรณภัย  คือความตาย  ก็ขอให้พระคุณเจ้าบูชาคุณพระรัตนตรัย  คือ 
พระพุทธ  พระธรรม  และพระสงฆ์”   พระอานนท์เถระซักถามต่อไปอีกว่า
                “ยังมีอะไรที่อาตมาภาพจักต้องทำต่อไปอีกหรือไม่อย่างไร”
                อสุรกายจึงนมัสการ  และตอบคำถามพระเถระไปว่า
                “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ  ท่านจะต้องทำการบริจาคทานแก่เหล่ายาจก  (คนยากจน  ขอทาน)  วณิพก  (คนขอทานด้วยร้องเพลงตอบแทน)  คนเข็ญใจ  ยากไร้อดอยาก  แล้วแผ่กุศลผลบุญไปให้แก่เหล่าอสุรกายทั้งหลาย  แล้วพระคุณเจ้าก็จักมีอายุยืนต่อไป”
                “ส่วนอสุรกายเหล่านั้น  จักได้อาศัยส่วนกุศลที่พระคุณเจ้าอุทิศให้  จักได้พากันพันทุกข์ภาวะแล้ว
ไปสู่สุคติต่อไป..”

 
<<< PREVIOUS       NEXT >>>