เรื่องสำหรับการแสดง
                เรื่องที่หนังใหญ่ใช้แสดง  นิยมเรื่องรามเกียรติ์กันเป็นส่วนใหญ่  เพราะมีคำพากย์รามเกียรติ์ของเก่าปรากฏอยู่  และหนังก็เป็นตัวละครเรื่องรามเกียรติ์  แต่ปรากฏเป็นตำนานในหนังสือสมุทรโฆษคำฉันท์ว่า  สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้โปรดให้พระมหาราชครูแต่งสมุทรโฆษคำฉันท์ขึ้นสำหรับเล่นหนังอีกเรื่องหนึ่ง  และดูเหมือนว่าศรีปราชญ์จะได้แต่งอนิรุทธิ์คำฉันท์ขึ้นทูลเกล้าฯ  ถวายเพื่อเล่นหนังอีกเรื่องหนึ่งด้วย  แต่ทั้งสองเรื่องนี้จะไม่ทันได้นำออกเล่นหรืออาจจะไม่ได้รับความนิยมจึงไม่ปรากฏว่าได้ใช้เป็นเรื่องเล่นหนังกันสืบมา
เหมือนอย่างเรื่องรามเกียรติ์
                นอกจากนี้  เชื่อกันว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยา  นิยายเรื่องอิเหนา  (ปันหยี)  ของชวาได้เข้ามาแพร่หลาย
ในราชสำนักไทย   และคงมีผู้แต่งเป็นคำพากย์หรือบทละครไว้สักเรื่อง  ๒  เรื่อง  หรือเป็นตอนใดตอนหนึ่ง  แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าต้นฉบับได้สูญหายไปเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒  คำพากย์เรื่องอิเหนาได้ถูกรวบรวมหรือถูกแต่งขึ้นใหม่อีกในสมัยรัชกาลที่  ๑  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์  ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดเป็นข้อมูลสร้างความบันดาลใจให้คิดแต่งเป็นบทละครเรื่องอิเหนาขึ้นในสมัยรัชกาลที่  ๒  เรื่องอิเหนาและเรื่องสมุทรโฆษคำฉันท์ไม่ปรากฏมีตัวหนังใหญ่หลงเหลือให้เห็น  แต่ก็ปรากฏมีรูปภาพเขียนบนกระดาษแข็งและผืนผ้าให้เห็นเค้าว่าน่าจะเคยสลักลงในผืนหนัง
                หนังใหญ่ของชวาที่มีชื่อว่า  “วายังปูรวา”  (wayang purava)  ซึ่งเป็นวายังเก่าหรือดั้งเดิม  แม้เรื่องที่นิยมใช้เล่น
จะไม่เหมือนกับของไทย  คือนิยมเล่นเรื่องมหาภารตะมากกว่าเรื่องรามายณะ  และตอนที่นิยมเล่นกันมากคือตอน
  “อรชุนวิวาห์”  ส่วนเรื่องรามายณะก็เคยเล่นกันมาแต่ก่อนเรื่องมหาภารตะอีกด้วย  เรื่องปันหยีหรืออิเหนาเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่นิยมเล่นกันมากในชวา  ไทยเราอาจได้แบบอย่างมาจากชวาบ้างก็ได้  หนังใหญ่ที่แสดงตอนกลางวันจะมีการแต่งชุดระบำสวย ๆ  ถ้าเป็นหนังใหญ่ที่แสดงตอนกลางคืนต้องมีการแสดงเบิกหน้าพระหรือบทไหว้ครูก่อนแสดง  จากนั้นจะแสดงเรื่องสั้น ๆ  เป็นการเบิกโรงเสียตอนหนึ่งก่อน  แล้วจึงจับเรื่องใหญ่แสดงต่อไปตามเนื้อเรื่องตอนใดตอนหนึ่งของเรื่องรามเกียรติ์  เรื่องที่ใช้แสดงตอนเบิกโรงแต่โบราณมามีหลายเรื่อง  เช่น  บ้องตันแทงเสือ  หัวล้านชนกัน  แทงหอก  และจับลิงหัวค่ำ 
เป็นต้น  แต่ในระยะหลังนี้แสดงกันแต่ชุดจับลิงหัวค่ำ

ที่มา : ผะอบ โปษะกฤษณะ. 2520, ไม่ปรากฎเลขหน้า

วิธีการแสดง
                 ถ้าเป็นการแสดงตอนกลางวัน  จะแสดงจับระบำชุดเมขลา-รามสูร  ประกอบร้องเพลง  พระทอง  เบ้าหลุด  บะหลิ่ม  และสระบุหรง  เพลงทั้งสี่คือระบำ  ๔  บท  ซึ่งเป็นการเลียนแบบการเล่นละครมาแสดงประกอบกับตัวหนังใหญ่นั่นเอง

                ถ้าเป็นการแสดงตอนกลางคืน  จะเริ่มต้นด้วยพิธีเบิกหน้าพระหรือการไหว้ครู  ซึ่งขั้นตอนมีดังนี้  คือ  ผู้เป็นเจ้าของคณะหนังใหญ่จะนำหนังเจ้าหรือหนังครูทั้งสาม  คือ  ฤาษี  ๑  พระอิศวรหรือพระนารายณ์  ๑  ทศกัณฐ์  ๑  ออกมาปักไว้หน้าจอเสียบไว้กับผืนจอหนังหรือกับเสาจอหนังก็ได้  รูปฤาษีเอาไว้ตอนกลาง  รูปพระอิศวรหรือพระนารายณ์จะเอาไว้ทางขวามือ  รูปทศกัณฐ์ไว้ทางซ้ายมือของคนไหว้ครู  ดังคำพากย์ไหว้ครูตอนท้ายของทวยที่  ๑  ว่า  “เบื้องซ้ายข้าไหว้ทศกัณฐ์  เบื้องขวาอภิวันท์  สมเด็จพระรามจักรี”  และเงินกำนลจากเจ้าภาพ  ๒  สลึงเฟื้อง  ปัจจุบัน  ๑๒  บาท  เทียนขี้ผึ้ง  ๓  เล่ม  บางคณะมีหัวหมู  ๒  หัว  ไก่  ๒  ตัว  บายศรีปากชาม  กล้วยสุก  ๒  หวี  มะพร้าวอ่อน  ๒  ผล  เหล้า  ๒  ขวด  ขนมต้มแดง  ขนมต้มขาว  ไข่ต้ม  ๒  ฟอง  เมื่อได้เครื่องสังเวยครบแล้วบูชาครูอัญเชิญครูสังเวยเครื่องสังเวย  ผู้เป็นหัวหน้าประกอบพิธีทำน้ำเทพมนต์ศักดิ์สิทธิ์พรมทุกคนในคณะจอหนัง  ตัวหนัง  ดนตรีปีพาทย์  คนดู  เพื่อความเป็นสิริมงคลและเป็นขวัญและกำลังใจในการแสดงเสร็จแล้วจุดเทียนเล่มหนึ่งไปให้วงปี่พาทย์ติดไว้ที่ตะโพน  เริ่มอ่านโองการเบิกหน้าพระ  ปี่พาทย์เริ่มโหมโรงเหมือนโหมโรงเย็น  และหยุดบรรเลงที่เพลงเสมอ  ครูผู้ทำพิธีก็กล่าวนมัสการตามพิธีแล้วจุดเทียนอีกเล่ม  ติดตรงปลายไม้คาบหนังอันหน้าของรูปพระอิศวร  พระนารายณ์  และรูปทศกัณฐ์ซึ่งอยู่ตรงปลายศรพอดี  พวกนักแสดงโห่ขึ้นสามลา  ปี่พาทย์บรรเลงเพลงเชิด  ผู้เป็นครูเอาหนังรูปฤาษีเก็บเข้าโรง  คนเชิดหนัง  ๒  คนจับหนังพระอิศวรพระนารายณ์และหนังทศกัณฐ์ขึ้นเชิดออกมาพ้นจากจอ  ทำท่าทางสัก  ๒-๓  ท่าไม่มากนัก  จะเป็นแบบท่าของตัวพระ  ไม่มีการเต้น  ไม่มีการเก็บเท้าแบบยักษ์และลิง  แล้วนำหนังเจ้าเข้าทาบจอดังเดิม  ปี่พาทย์หยุดบรรเลงเพลง  คนพากย์เริ่มพากย์ไหว้ครู  ๓  ตระซึ่งมี  ๓  ทวยด้วยกัน
ที่มา : ผะอบ โปษะกฤษณะ. 2520, ไม่ปรากฎเลขหน้า
<<< PREVIOUS    NEXT >>>