ความเป็นมาของคำว่า “หนัง”
คำว่า “หนัง” เกิดมาจากการละเล่นที่ขึ้นหน้าขึ้นตาของชาวไทยสมัยโบราณชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า “หนัง” เพราะเหตุว่ารูปภาพแทนบุคคลหรือตัวละครที่ใช้เล่นนั้นประดิษฐ์ขึ้นด้วยหนังสัตว์เช่น หนังโค หนังกระบือ หนังแพะ จึงเรียกการละเล่นชนิดนั้นว่า “หนัง” และคำว่าหนังเฉย ๆ คำเดียวโดด ๆ นี้ เป็นคำที่ใช้เรียกกันมาตั้งแต่ดั้งเดิมทั่วไปทั้งในภาคกลางและภาคใต้ คำและความหมายในทำนองเดียวกันนี้ ตามภาษาที่พวกชวา-มลายูใช้เรียกชื่อหนังของตนว่า “วายังปูรวา” หรือ “วายังกุลิต” (WAYANG PURAVA or WAYANG KULIT) ซึ่งแปลว่ารูปที่ทำด้วยหนังสัตว์ (วายัง = หนังสัตว์ ส่วน วายังปูรวา แปลว่า วายังเก่าหรือวายังดั้งเดิมมีขึ้นก่อนวายังชนิดอื่น ๆ)
หลักฐานอีกอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าแต่ก่อนเราเรียกหนังเพียงคำเดียว คือ ในบทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๖๐ มีว่า
“ดาหลังวายังแล้วชูเชิด ฉลุฉลักลายเลิศเลขา”
ประวัติความเป็นมาของหนัง
หนังเป็นมหรสพที่เกิดขึ้นในยุคโบราณเมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว และเป็นการละเล่นที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ เช่น อินเดีย จีน อียิปต์ เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเทศไม่จำเป็นจะต้องลอกเลียนแบบไปจากกันก็ได้ เพราะประเทศที่เคยมีอารยธรรมรุ่งเรืองมาก่อนและมีพลเมืองมากย่อมสามารถที่จะคิดประดิษฐ์ขึ้นเองได้ตามสภาพ ยกเว้นประเทศเล็กและด้วยความเจริญส่วนใหญ่มักรับอิทธิพล ได้รับการถ่ายทอดแบบอย่างจากเมืองแม่บททางอารยธรรม ต้นกำเนิดหนังในประเทศไทยเกิดจากอินเดีย ต่อมาอินเดียได้ถ่ายทอดแบบอย่างให้แก่อาณาจักรศรีวิชัย โดยเฉพาะบนเกาะชวา หนังเจริญแพร่หลายมาก ไทยเราก็ได้แบบอย่างการเล่นหนังสือต่อมาจากอาณาจักรทะเลใต้ ในสมัยศรีวิชัยอีกทอดหนึ่ง โดยได้รับผ่านมาทางแหลมมลายู
หลักฐานเกี่ยวกับหนังที่เก่าแก่ที่สุดที่ปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนาภาษาบาลีชื่อ “เถรีกถา” (SONG OF THE NUNS) นอกจากนี้ปรากฏอยู่ในคัมภีร์มหาภารตะหลายตอน ยิ่งในชั้นหลัง ๆ ได้ปรากฏอยู่ในหลักฐานเรื่องต่าง ๆ มากมาย โดยเรียกการเล่นชนิดนี้ว่า “ฉายานาฏกะ” มีเล่นกันแพร่หลายจนกลายเป็นธรรมดาไปในอินเดียโบราณ ในสมัยที่พ่อค้าพาณิช นักบวช นักเผชิญโชคชาวอินเดียเดินทางแล่นเรือมาติดต่อค้าขายยังดินแดนเอเชียอาคเนย์ ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๖-๗ เป็นต้นมาจนถึงสมัยศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๘) ชาวอินเดียนอกจากนำศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธ และศิลปะวิทยาการมาเผยแพร่ให้กับคนพื้นเมืองแล้ว คงนำเอาการละเล่นต่าง ๆ และดนตรีหลายชนิดมาเผยแพร่ด้วยป็นแน่ ชาวอินเดียที่เดินทางมายังอาณาจักรทะเลใต้ก็ลงเรือจากฝั่งตะวันออกของอินเดียใต้ข้ามทะเลมุ่งมายังสุมาตรา ชวา และแหลมมายู นำเรื่องรามายณะและมหาภารตะ มาเผยแพร่สิ่งสอนจนเป็นที่นิยมฝังใจชาวพื้นเมืองมาจนทุกวันนี้ โดยเฉพาะเรื่องรามายณะได้รับความนิยมยกย่องมากที่สุด
หนังที่คนไทยรับเข้ามามิได้รับเข้ามาทุกรูปแบบ แต่ได้นำมาปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะถูกกับความนิยมและลักษณะแบบแผนของคนไทย หนังคงจะเข้ามาในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาภาคกลางตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว มีหลักฐานปรากฏในกฎมณเฑียรบาล พ.ศ. ๒๐๐๑ ส่วนในชวา มีหลักฐานทำให้มือในรูปของหนังเคลื่อนไหวแสดงกิริยาท่าทางได้ เริ่มเกิดขึ้นราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๓ จึงเข้าใจว่าหนังตะลุงภาคใต้ของไทยก็คงจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนี้
|