การผสมพันธุ์นก |
|
ควรเตรียมการดังนี้
1. สถานที่ตั้งกรงผสมพันธุ์
2. กรงผสมพันธุ์
3. นกพ่อพันธุ์ และ นกแม่พันธุ์
4. อาหารหลัก ได้แก่ ข้าวเปลือกเมล็ดสั้น น้ำสะอาด ดินดำ ทราย
สถานที่ตั้งกรงผสมพันธุ์
ความสำคัญของสถานที่ตั้งกรง ยึดหลัก 2 ประการ คือ
1. สถานที่ตั้งต้องโปร่ง ไม่อับลม
2. กรงต้องมีแสงแดดส่องถึงบางส่วน
กรงผสมพันธุ์
ขนาดกรงที่เหมาะสม คือ
1. สูง 90 เซ็นติเมตร เท่ากับความกว้างของลวดตาข่าย
2. กว้าง 60 เซ็นติเมตร เพื่อความสะดวกในการจับ พ่อ/แม่ และลูกนก
3. ยาว 120 เซ็นติเมตร ประตูควรอยู่ตรงกลางของกรง เพื่อสะดวกในการจับนก
|
|
4. หลังคา ควรยกให้สูงพ้นส่วนบนของกรง เพื่อให้ระบายความร้อน ด้านข้างของกรงควรปิดไม่ให้นกเห็นกันกับนกข้างเคียงป้องกันความหึงหวงคู่ผสม
5. รูปแบบของกรงผสม
5.1 กรงเดี่ยว/กรงตับ ยกพื้นสูง
5.2 กรงเดี่ยว/กรงตับ ตั้งบนพื้นดิน |
|
อนึ่งในกรงผสมนั้นจะต้องมีรังไข่ไว้สำหรับให้แม่นกออกไข่และฟักไข่ ใกล้กับรังไข่ต้องมีคอนไม้ไว้ให้นกเกาะ ยืน เดิน ความยาวประมาณ 6 นิ้ว หรือประมาณ นก จำนวน 4 ตัว เกาะได้ เนื่องจากลูกนกที่เกิดใหม่จะมีครอกละไม่เกิน 2 ตัว นอกเหนือจากคอนไม้ตามปกติที่มีไว้ในกรง เพื่อให้ พ่อ แม่ นก เกาะ โผบิน เป็นการออกกำลังกายตามธรรมชาติ
นกพ่อพันธุ์ และ นกแม่พันธุ์
|
|
ไม่ว่าท่านจะคิดผสมพันธุ์นกเพื่องานอดิเรกหรือเพื่อการค้าก็ตาม ควรคำนึงถึงองค์ประกอบ ดังต่อไปนี้
1. สายพันธุ์ของพ่อนกและแม่นก ควรเป็นสายพันธุ์ที่เคยให้ลูกออกมาดี
2. คุณภาพของพ่อนกและแม่นก ควรคำนึงถึงด้วยว่า คำร้องเป็นอย่างไร โดยพิจารณา คำหน้า ปลาย จังหวะใน และน้ำเสียง อยู่ในระดับใด หากพ่อแม่ดีลูกที่เกิดมาก็มีโอกาสดีด้วย
|
กรงตับ ตั้งบนพื้นดิน |
|
|
3. ความสมบูรณ์ปราศจากโรค ก่อนที่จะปล่อยพ่อแม่นกลงผสมพันธุ์ ควรถ่ายพยาธิ เนื่องจากนกบางตัวอาจมีพยาธิอยู่ ยาถ่ายพยาธินั้นใช้ยาถ่ายพยาธิสำหรับเด็ก มีจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไปหรือพ่อค้าที่ขาย วัสดุ อุปกรณ์ อาหารนก ณ สนามแข่งขัน
4. อายุของพ่อนกและแม่นก นกที่จะลงผสมพันธุ์ควรมีอายุไม่น้อยกว่า 8 เดือน เนื่องจากนกอายุขนาดนี้เจริญเติบโตเต็มตัวแล้ว เปรียบเสมือนกับคนก็เป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว พร้อมที่จะผสมพันธุ์
(นกเขาชวา http://www.nokkaochava.com/index.php?lay) |
กรงตับ ยกพื้นสูง |
ภาพประกอบ ที่มา : นกเขาชวา http://www.nokkaochava.com/index.php?lay=show&ac |
ระยะเวลาเของการฟักไข่
ไข่นกเขาชวาจะใช้เวลาฟักประมาณ ๑๔-๑๕ วันจึงจะออกเป็นลูกนก แต่ถ้าอากาศร้อน ๆ หรือฟักในฤดูร้อน อาจใช้เวลาเพียง ๑๔ วัน ส่วนในฤดูหนาวต้องใช้เวลานานถึง ๑๕ วันเต็ม จึงจะออกเป็นลูกนก โดยปรกติจะไม่เกิน ๑๖ วัน
ระยะเวลาที่ลูกนกเริ่มช่วยตัวเองได้
ลูกนกที่ออกจากไข่นานประมาณ ๑๒-๑๔ วัน จะเริ่มหัดบิน ครั้นเวลาล่วงมานานประมาณ ๒๐-๒๕ วัน แม่นกก็จะเริ่มออกไข่ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในระยะนี้พอนกจะไล่ตีลูกนก โดยปรกติประมาณ ๒๐ วัน หลังจากที่ลูกนกออกจากไข่ ควรจะแยกเอาไปใส่กรงเล็ก ด้วนเหตุนี้ในช่วงนี้เจ้าของนกจะต้องรีบแยกลูกนกออกมาเลี้ยงไว้ในกรงเล็กทันที มิฉะนั้นพ่อนกจะจิกตีลูกนกของตนจนตาย ในระยะแรกที่ลูกนกต้องจากอกพ่อนกแม่นก ลูกนกเหล่านี้อาจจะกินอาหารเองไม่เป็น เจ้าของจะต้องเอาถั่วเขียวบดพอแหลกป้องให้กิน จนกว่าลูกนกจะกินอาหารได้เอง จึงค่อยนำลูกนกไปปล่อยในกรงใหญ่ เพื่อให้ลูกนกหัดบินออกกำลังสักประมาณ ๓-๖ เดือน แล้วจึงค่อยนำมาเลี้ยงในกรงเล็กใหม่
แต่ถ้านกเขาเพศเมียยังไม่ออกไข่ใหม่ เจ้าของก็อาจไม่ต้องแยกลูกนกจากอกพ่อแม่ก่อนก็ได้ เพียงแต่เจ้าของนกต้องคอยหมั่นเติมอาหารจำพวกเมล็ดดอกหญ้าเล็ก ๆ ข้าวฟ่าง และถั่วเขียวบดในถ้วยอาหารที่อยู่ในกรงเสมออย่าให้ขาด ในช่วงนี้พ่อนกมักจะเป็นผู้คอยป้อนอาหารให้ลูกเอง
เมื่อลูกนกเริ่มโตขึ้น ก็ต้องเปลี่ยนอาหารเป็นข้าวเปลือกเมล็ดสั้น และให้อาหารเสริมพวกดอกหญ้า ข้าวฟ่าง ข้าวเหนียวดำ ปัจจุบันบางคนให้นกกินตั๊กแตนด้วยเป็นการเสริมธาตุนก ทำให้นกมีกำลังขัน แต่ก็ต้องระวังอย่าให้นกกินตั๊กแตนที่มีสีน้ำตาลดำ เพราะอาจตายได้ ตั๊กแตนที่เสริมกำลังควรเป็นตั๊กแตนสีเขียวตัวอ่อนที่มีลักษณะป้อม ๆ โดยต้องเด็ดขาตั๊กแตนทิ้งให้หมด ให้เหลือแต่ลำตัวและปีกที่อ่อน ๆ เท่านั้น ให้กินครั้งละ ๓ ตัว เดือนหนึ่งให้กินประมาณ ๒ ครั้งก็พอแล้ว แต่นกเขาที่แข็งแรงแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องให้ตั๊กแตนอีก ส่วนน้ำจะต้องหมั่นเปลี่ยนเป็นน้ำที่สะอาดอยู่เสมอลืมไม่ได้
เมื่อลูกนกที่เป็นนกพันธุ์ดีมีอายุได้ประมาณ ๒-๓ เดือน ก็จะเริ่มร้องและโกรก พอประมาณ ๔-๕ เดือน เจ้าของก็เริ่มฟังเสียงออกว่าเป็นนกดีหรือไม่ ฝึกขึ้นรอกอีกประมาณ ๕-๖ เดือนก็นำไปแข่งขันได้แต่ก็อาจมีบวงนกที่เร็วกว่านี้หรือช้ากว่านี้ ทั้งนี้แล้วแต่พันธุ์ของนกเขาด้วย
(มัลลิกา คณานุรักษ์. 2530, 95-96) |
|
|
|
|