สิงโตคณะหนึ่ง ๆ มีประมาณ 7 คน กล่าวตามวิธีการสมัยก่อนเขาจะให้คนหนึ่งถือกระดาษแดง มีตัวอักษรจีนเขียนว่า ซิมชุน กิมไซป่ายแปลว่าปีใหม่สิงโตทองไหว้ เมื่อถึงบ้านใครที่จะไปไหว้ก็ให้กระดาษแผ่นนี้แก่เจ้าของบ้านใบหนึ่ง นอกจากนี้ ก็มีคนตีม้าล่อเสีย 2 คน ตีฉาบ 1 คน ตีกลอง 1 คน กับคนถือหัวสิงโตและถือหางรวม 2 คน การตีกลองตีม้าล่อนี้ได้ยินมาว่าเข่ามีธรรมเนียมอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่สักแต่ว่าตีกันโผ่งผ่างดังแสบแก้วหูเฉย ๆ การตีม้าล่อหรือล่อโก๊นี้เขามีอันดับชั้นเหมือนกับการยิงสลุต คือเขาแบ่งเป็นจังหวะ ๆ ถ้ายศอยู่ในอันดับ 3 เขาก็ตีระยะแรกเพียง 3 คือ ผ่าง ผ่าง ผ่าง แล้วจึงตีผ่าง ๆ ติด ๆ กันเสียงทีหนึ่ง ถ้าเป็นยศชั้น 7 ก็ตีผ่าง ๆ ช้า ๆ 7 ครั้ง แล้วจึงตีผ่าง ๆ ติด ๆ กันคั่นเสียที่หนึ่ง และในขณะที่แห่ไปนั้นก็ตีจังหวะช้า ๆ เรื่อยไปแต่จวนจะถึงบ้านผู้ใดจึงตีจังหวะเร็วเป็นการบอกให้เจ้าบ้านรู้ตัว เมื่อถึงบ้านที่กำหนดไว้จึงให้สิงโตทำท่าไหว้เจ้า คือเชิดหัวขึ้นแล้วก้มหัวต่ำลงเป็นการคำนับ 3 ครั้ง ตอนนี้ม้าล่อตีรัว 3 ครั้ง ตามท่าสิงโต คณะสิงโตนอกจากพวกจีนแคะแล้ว ตามคำเล่นของ พระประทัดสุนทรสาร ว่ามีคณะของคนไทยอีกคณะหนึ่งชื่อ นายถนอม แต่อยู่ได้ไม่กี่ปีก็เลิก ภายหลังมีของพวกจีนแคะอั้งยี่ตั้งขึ้นอีก 2 คณะคือ คณะเม่งสูนอยู่ตรอกวัดพลับพลาชัย กับคณะขุ้นเอง อยู่ตรอกอาเนี่ยเก็ง ที่สำเพ็ง 2 คณะนี้เป็นคณะใหญ่เพิ่มขึ้นจาก 7 คน เป็น 20 คน มีนักมวยถือกระบองดูน่ากลัวมากขึ้น ต่อ ๆ มาก็มีสิงโตของจีนเกือบทุกภาษาคือ จีนไหหลำ จีนกวางตุ้ง เมื่อมีคณะมากขึ้นรายได้ก็น้อยลง เพราะคนที่จ่ายสตางค์เขาเห็นมีกันหลายคณะนักก็ต้องเฉลี่ยกันไป เลยเป็นเหตุให้เกิดวิวาทแย่งกันถึงขนาดตีรันฟันแทงกันล้มตาย ทางการเห็นว่าคณะสิงโตก่อความวุ่นวายจึงออกระเบียบให้เล่นเฉพาะกลางวัน และต้องขออนุญาตเสียก่อน กลางคืนห้ามเล่นเด็ดขาด และคณะหนึ่งให้มีคนได้ไม่เกิน 6 คน เมื่อถูกห้ามกวดขันขึ้นเช่นนี้ คณะสิงโตก็หมดกำลังใจแล้วล้มเลิกกันไปในที่สุด |
||
|
||
ในตอนต้นกล่าวว่าสิงโตชอบวิ่งไล่ลูกบอลทำให้นึกถึงรูปสิงโตตามประตูวัดจะเห็นว่าเขาทำเป็นสิงโตเอาเท้าเหยียบลูกบอลไว้ ลูกบอลนี้บางท่านก็ว่าเป็นเครื่องหมายแทนพระอาทิตย์ แต่มีเรื่องเล่ากันว่าสิงโตผลิตนมจากอุ้งเท้า ด้วยเหตุนี้พวกชาวบ้านจึงเอาลูกบอลกลวง ๆ ไปวางไว้ตามภูเขา ด้วยหวังว่าเมื่อสิงโตคลึงลูกบอลเล่นก็จะได้น้ำนมจากลูกบอล การที่มีลูกบอลกลม ๆ ที่เท้าของสิงโตจึงอาจมาจากความเชื่อนี้ก็ได้ |
||
‘สิงโต’ สัญลักษณ์แห่งความมีโชค การเชิดสิงโตมงคลกลายเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในช่วงเฉลิมฉลองเทศกาลรื่นเริงต่างๆ ของจีน ทั้งนี้เพื่อเป็นการปัดเป่าวิญญาณร้ายและพลังงานที่ไม่ดีออกไป พร้อมทั้งดึงดูดโชคลาภและความเจริญรุ่งเรืองเข้ามา มีตำนานมากมายเล่าถึงที่มาของการเชิดสิงโตจีน และตลอดเวลาหลายร้อยปี ลักษณะของสิงโตที่ใช้เชิดรวมทั้งท่วงท่าในการกระโดดและโผนทะยานของสิงโตก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ทุกวันนี้การเชิดสิงโตก็ยังคงเป็นที่ติดตรึงใจผู้คนมากมาย และคณะสิงโตก็มักจะถูกเชิญ หรือว่าจ้างให้ไปเฉลิมฉลองในโอกาสแห่งความสุขต่างๆ พร้อมกับลูกหลานชาวจีนที่มีสำนึกในวัฒนธรรมอยู่ทั่วโลกสำหรับในประเทศไทยสิงโตได้เข้ามาในรัชสมัยของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งชาวจีนในสมัยนั้นได้เข้ามาค้าขายในแผ่นดินสยามและเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ต่อมาชาวจีนเหล่านั้นได้ทำสิงโตมาเชิดแสดงต่อหน้าพระที่นั่งให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงทอดพระเนตร เพราะความเชื่อของชาวจีนเชื่อว่าผู้ใดได้ชมการเชิดสิงโตจะมีโชคลาภ เจริญรุ่งเรืองเป็นสิริมงคล นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาการแสดงสิงโตก็ได้สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันประมาณ 400 กว่าปีแล้ว(ตรุษจีน เทศกาลแห่งความมีโชค) |
||